ต้นไม้แหล่งดูดซับและกักเก็บคาร์บอนช่วยลดโลกร้อน
ต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีประโยชน์มากมายทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น เป็นแหล่งอาหาร ยารักษาโรค แหล่งที่อยู่อาศัย ของสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ป้องกันการกัดเซาะพังทลายของหน้าดิน เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้ดิน สามารถป้องกันแสงแดด จากความร้อนของดวงอาทิตย์ ไอน้ำที่ระเหยจากการคายน้ำบริเวณปากใบยังช่วยลดความร้อนในบรรยากาศ ทำให้อุณหภูมิบริเวณนั้นลดลงได้ถึง 3 - 5 องศาเซลเซียส หากปลูกต้นไม้ไว้ในบริเวณบ้านจะช่วยลดอุณหภูมิรอบบ้าน ได้ถึง 2 - 4 องศาเซลเซียส (มูลนิธิสืบนาคะเสถียร, 2553) ดังนั้น ต้นไม้จึงมีบทบาทสำคัญยิ่งต่ออุณหภูมิบรรยากาศและการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เนื่องจากต้นไม้สามารถดูดซับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นแก๊สเรือนกระจกที่สำคัญชนิดหนึ่งจากบรรยากาศมาสะสมกักเก็บไว้ในส่วนต่างๆ ของต้นไม้ โดยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จะถูกต้นไม้ดูดซับนำไปใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง และถูกนำไปกักเก็บในรูปของเนื้อไม้ (ส่วนส่งเสริมและพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, 2559) ทั้งส่วนที่อยู่เหนือพื้นดิน ได้แก่ ลำต้น กิ่ง และใบ ร้อยละ 62, 11 และ 1 ตามลำดับ และส่วนที่อยู่ใต้พื้นดิน ได้แก่ ราก ร้อยละ 26 (องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน), 2559) ดังภาพที่ 1

ภาพ 1 การกักเก็บคาร์บอนในส่วนต่างๆ ของต้นไม้
ภาพจาก: https://www.nature.org/en-us/about-us/where-we-work/united-states/common-tree-species/
ดังนั้น ต้นไม้ 1 ต้น สามารถดูดซับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ได้เฉลี่ย 9 - 15 กิโลกรัมต่อปี และช่วยดักจับฝุ่นและมลพิษในอากาศได้ 1.4 กิโลกรัมต่อปี (ไทยรัฐออนไลน์, 2566) ซึ่งศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนของต้นไม้ขึ้นอยู่กับอัตราการเติบโตของต้นไม้และปัจจัยแวดล้อม หากปลูกบนพื้นที่ที่เหมาะสมกับชนิดของพืชนั้นๆ ก็จะทำให้ต้นไม้กักเก็บคาร์บอนได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การกักเก็บคาร์บอนของต้นไม้จะสัมพันธ์กับการสร้างอาหารและการเติบโตของต้นไม้ หากต้นไม้เติบโตมากขึ้น แสดงให้เห็นว่าต้นไม้มีความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนได้มากขึ้น (องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน), 2559)
ตาราง 1 ปริมาณคาร์บอนในส่วนต่างๆ ของชนิด/กลุ่มของพรรณไม้
การคำนวณหาปริมาณการกักเก็บคาร์บอนของต้นไม้
การคำนวณหาปริมาณการกักเก็บคาร์บอนของต้นไม้ ทำได้โดยการประเมินมวลชีวภาพ หรือปริมาณคาร์บอนที่สะสมอยู่ในรูปของเนื้อไม้ โดยการประเมินความสัมพันธ์ระหว่างเส้นผ่านศูนย์กลางของต้นไม้ที่ระดับความสูง 1.30 เมตร (Diameter at Breast Height: DBH) กับความสูงทั้งหมดของต้นไม้
1. การเลือกพื้นที่และสุ่มตัวอย่างต้นไม้
1. สำรวจพื้นที่ที่สนใจศึกษา กำหนดขนาดพื้นที่ และวัดพิกัดทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่ตัวอย่างที่เป็นตัวแทนในการวัดต้นไม้
2. สำรวจและสุ่มตัวอย่างต้นไม้เพื่อประเมินปริมาณการกักเก็บคาร์บอน สำหรับพื้นที่ที่มีต้นไม้ไม่มาก ให้ทำการวัดทุกต้น แต่ในกรณีที่มีต้นไม้เป็นจำนวนมาก ให้กำหนดแนวทางการสุ่มตัวอย่างในการวัดต้นไม้ ดังนี้ (องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน), 2559)
การสำรวจ (Inventory)
การสำรวจเป็นวิธีการประเมินปริมาณการกักเก็บคาร์บอนของต้นไม้ ด้วยการวัดเส้นรอบวงของต้นไม้และความสูงของต้นไม้ทุกต้นในพื้นที่ที่ต้องการประเมิน วิธีการนี้เหมาะสมกับพื้นที่ที่มีการปลูกแบบกระจัดกระจายไม่มีระเบียบแบบแผนการปลูกที่แน่นอน และมีจำนวนต้นไม้ไม่มากนัก เช่น การปลูกต้นไม้ในบริเวณบ้าน อาคาร สำนักงาน หรือการปลูกในสวนสาธารณะขนาดเล็ก
การสุ่มตัวอย่าง (Sampling)
การสุ่มตัวอย่างเป็นวิธีการวัดต้นไม้เพื่อประเมินปริมาณการกักเก็บคาร์บอนของต้นไม้ ที่เหมาะสมกับกรณีที่มีการปลูกต้นไม้จำนวนมากและไม่สามารถทำการวัดได้ครบทุกต้น อาจด้วยข้อจำกัดต่างๆ เช่น การปลูกเป็นสวนป่าขนาดใหญ่ ป่าธรรมชาติ หรือการปลูกแบบเป็นแถวเป็นแนวที่มีจำนวนต้นไม้มากกว่า 300 ต้นขึ้นไป ควรสุ่มวัดให้กระจายและครอบคลุมทั้งชนิดและอายุของต้นไม้ พร้อมทั้งนับจำนวนต้นไม้ที่ปลูกทั้งหมด ทั้งนี้ “ข้อสำคัญของการสุ่มตัวอย่าง” คือ การเลือกพื้นที่หรือต้นไม้ที่สามารถเป็นตัวแทน สำหรับการประเมินพื้นที่นั้นๆ ได้อย่างเหมาะสม และไม่ก่อให้เกิดปริมาณที่มากหรือน้อยกว่าความเป็นจริง
1) การสุ่มตัวอย่างในพื้นที่สวนป่าหรือป่าธรรมชาติ
ภาพ 2 การสุ่มตัวอย่างในพื้นที่ (ก) สวนป่า หรือ (ข) ป่าธรรมชาติ
กำหนดพื้นที่ตัวอย่างขนาด 1 ไร่ (40 x 40 เมตร) จำนวน 2 แปลง กระจายในพื้นที่ป่า ซึ่งในแปลงใหญ่ขนาด 1 ไร่ อาจวางแปลงย่อยขนาด 10 x 10 เมตร รวมเป็นเก็บข้อมูลทั้งสิ้น 2 แปลงใหญ่ 32 แปลงย่อย (ยุพเยาว์ โตคีรี, ชวนพิศ จารัตน์, ดวงตา โนวาเชค และน้องนุช สารภี, 2563)
ภาพ 3 การสุ่มตัวอย่างขนาดพื้นที่ 1 ไร่ (40x40 เมตร)
2) การปลูกต้นไม้แบบเป็นแถวเป็นแนว
เป็นการสุ่มวัดต้นไม้เพื่อเป็นตัวแทนในการประเมินปริมาณการกักเก็บแก๊สเรือนกระจก โดยในกรณีที่ต้นไม้มีจำนวน น้อยกว่า 300 ต้น ให้วัดต้นไม้ทุกต้น และในกรณีที่ต้นไม้มีจำนวน มากกว่า 300 ต้นขึ้นไป ให้วัดต้นไม้จำนวน 300 ต้นหรือมากกว่าก็ได้ โดยในการสุ่มวัดต้นไม้ตัวอย่างนั้น เพื่อให้เป็นตัวแทนที่เหมาะสม ควรสุ่มวัดให้กระจายและครอบคลุมทั้งในแง่ของชนิดไม้หรืออายุของต้นไม้ พร้อมทั้งนับจำนวนต้นไม้ที่ปลูกทั้งหมด
ภาพที่ 4 การสุ่มตัวอย่างในพื้นที่ที่มีการปลูกต้นไม้แบบเป็นแถวเป็นแนว
2. การสำรวจไม้ต้นขนาดใหญ่ (Tree)
สำรวจไม้ต้นขนาดใหญ่ (Tree) ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางระดับอก (Diameter at Breast Height: DBH) มากกว่า 4.5 เซนติเมตร และมีความสูงมากกว่า 1.30 เมตร โดยทำการเก็บข้อมูลชนิดของไม้ต้น ตรวจวัดเส้นผ่านศูนย์กลางของต้นไม้ หรือตรวจวัดเส้นรอบวง และคำนวณหาเส้นผ่านศูนย์กลางของต้นไม้ รวมทั้งตรวจวัดความสูงของไม้ใหญ่ทุกต้น ตามหลักวิธีดำเนินการตรวจวัดตามแนวทางของ GLOBE (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2565)


ภาพ 5 การวัดเส้นรอบวงของต้นไม้ที่มีลักษณะแตกต่างกัน
การหาเส้นผ่านศูนย์กลางของต้นไม้
เส้นผ่านศูนย์กลางของต้นไม้ = เส้นรอบวงของต้นไม้ / 3.14
การตรวจวัดความสูงของต้นไม้


ภาพ 6 การวัดความสูงของต้นไม้ โดยใช้ Clinometer ที่พัฒนาขึ้นเอง


3. วิธีการคำนวณหาปริมาณการกักเก็บคาร์บอนของต้นไม้
การคำนวณหาปริมาณการกักเก็บคาร์บอนของต้นไม้ ทำได้โดยการประเมินมวลชีวภาพ หรือปริมาณคาร์บอนที่สะสมอยู่ในรูปของเนื้อไม้ โดยการประเมินความสัมพันธ์ระหว่างขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของต้นไม้ที่ระดับความสูง 1.30 เมตร กับความสูงของต้นไม้ จากการใช้ สมการแอลโลเมตรี (Allometric Equation) ของ Ogawa et al. (1965), Komiyama et al. (1987) และ Peason et al. (2005) เพื่อคำนวณหามวลชีวภาพรวมของพืช ทั้งนี้ การเลือกใช้สมการต้องสอดคล้องกับประเภทของป่าชนิดนั้นๆ และใช้ในการหาค่าคาร์บอนที่สะสมอยู่ในมวลชีวภาพโดยคูณด้วยค่า Conversion factor ซึ่งมีค่า 0.47 (IPCC, 2006) ดังนี้
ปริมาณการกักเก็บคาร์บอนของต้นไม้ = มวลชีวภาพรวมของต้นไม้ x 0.47 (กิโลกรัม)
เมื่อ
WS = มวลชีวภาพเหนือพื้นดินในส่วนที่เป็นลำต้น (กิโลกรัม)
WB = มวลชีวภาพเหนือพื้นดินในส่วนที่เป็นกิ่ง (กิโลกรัม)
WL = มวลชีวภาพเหนือพื้นดินในส่วนที่เป็นใบ (กิโลกรัม)
WR = มวลชีวภาพของราก (กิโลกรัม)
WT = มวลชีวภาพเหนือพื้นดินทั้งหมด (กิโลกรัม)
W = มวลชีวภาพรวมของต้นไม้ (กิโลกรัม)
D = ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่ระดับความสูง 1.30 เมตร (เซนติเมตร)
H = ความสูงทั้งหมดของต้นไม้ (เมตร)
ต้นไม้ชนิดต่างๆ นอกจากจะสามารถดูดซับและกักเก็บแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศได้แล้ว ยังสามารถคิดเป็นคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) เพื่อนำไปขายเพื่อสร้างรายได้ได้อีกด้วย คาร์บอนเครดิตเป็นสิทธิที่บุคคลหรือองค์กรได้รับจากการลดปริมาณการปล่อยแก๊สเรือนกระจก (จำนวนคาร์บอนฟุตพรินต์) ในแต่ละปี มีหน่วยเป็นตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า กลไกการลดแก๊สเรือนกระจก เช่น การปลูกป่า การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การดักจับและกักเก็บแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งหากปล่อยคาร์บอนน้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ปริมาณคาร์บอนที่เหลือจะถูกนำมาตีราคา และสามารถนำไปจำหน่ายในรูปแบบคาร์บอนเครดิตให้กับองค์กรอื่นๆ ที่ต้องการได้ ดังภาพที่ 7 ประเทศไทยมี โครงการลดแก๊สเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) ซึ่งเป็นโครงการคาร์บอนเครดิตที่ดำเนินการสอดคล้องกับมาตรฐานโครงการคาร์บอนเครดิตในระดับสากล โดยมุ่งเน้นการลดและการดูดกลับแก๊สเรือนกระจกอย่างถาวร รวมถึงให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนเพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมชุมชน และประชาชนในท้องถิ่น ซึ่งกลไกคาร์บอนเครดิตเป็นกลไกหนึ่ง ที่ช่วยให้ประเทศไทยมุ่งสู่การลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยการสร้างสมดุลให้กับภูมิอากาศของโลก (องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน), 2566)

ต้นไม้ที่ควรปลูก
ต้นไม้แต่ละชนิดมีศักยภาพในการกักเก็บแก๊สเรือนกระจกที่แตกต่างกัน ต้นไม้ที่แนะนำให้ปลูกเพื่อช่วยกันลดแก๊สเรือนกระจกในบรรยากาศ และช่วยลดภาวะโลกร้อน มีดังตัวอย่างในตารางที่ 2 (องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน), 2559)

“ต้นไม้”… เป็นสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ที่มีประโยชน์อย่างมหาศาล หากพื้นที่ในชุมชนหรือในโรงเรียนของเรามีพื้นที่ว่างเปล่าอยู่มาก เรามาร่วมมือกันริเริ่มปลูกต้นไม้เพื่อเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอน ถ้าเราทุกคนช่วยกันปลูกต้นไม้เพียงคนละ 1 ต้น จะสามารถลดปริมาณแก๊สเรือนกระจกในบรรยากาศ ช่วยกันลดโลกร้อน และช่วยให้ทุกชีวิตดำรงชีวิต ในสิ่งแวดล้อมที่กำลังเปลี่ยนแปลงได้อย่างยั่งยืนแน่นอน มาปลูกต้นไม้ตั้งแต่วันนี้กันเถอะ
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของนิตยสาร สสวท. ปีที่ 51 ฉบับที่ 245 พฤศจิกายน – ธันวาคม 2566
ผู้อ่านสามารถติดตามบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ https://emagazine.ipst.ac.th/245/46/
บรรณานุกรม
Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC). (1996). Greenhouse Gas Inventory Reference Manual. International Panel on Climate Change. Cambridge University Press, Cambridge.
Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC). (2006). IPCC Guidelines for National Greenhouse Gas Inventories. Japan: IGES, Hayama.
Ogawa, H. & Yoda, K. & Ogino, K. & Kira, T. (1965). Comparative ecological studies on three main type of forest vegetation in Thailand II. Plant Biomass, Nature and Life in Southeast Asia. 4: 49-80.
คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. (2554). คู่มือศักยภาพของพรรณไม้ สำหรับส่งเสริมภายใต้โครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาดภาคป่าไม้. กรุงเทพมหานคร: อักษรสยามการพิมพ์.
คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. (2554). คู่มือศักยภาพของพรรณไม้ สำหรับส่งเสริมภายใต้โครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาดภาคป่าไม้. สืบค้นเมื่อ 26 ตุลาคม 2566. จาก https://ghgreduction.tgo.or.th/th/download-tver/download/2160/1200/32.html.
ไทยรัฐออนไลน์. (2566). “ต้นไม้” ตัวช่วยดูดซับคาร์บอน เพิ่มออกซิเจน ลดโลกร้อน. สืบค้นเมื่อ 26 ตุลาคม 2566. จาก https://www.thairath.co.th/news/sustainable/ 2712707?gallery_id=1.
มูลนิธิสืบนาคะเสถียร. (2553). ปลูกต้นไม้ 1 ต้น ได้อะไรมากกว่าที่คิด. สืบค้นเมื่อ 26 ตุลาคม 2566. จาก https://www.seub.or.th/index.php?option=com_ content&view= article&id=350: seubmewscatid=5:2009-10-07-10-58-20&Itemid=14.
ยุพเยาว์ โตคีรี และคณะ. (2020). การกักเก็บคาร์บอนในมวลชีวภาพของไม้ต้นในป่าชุมชนบ้านแสงตะวัน จังหวัดสุรินทร์. คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์. วารสาร PSRU Journal of Science and Technology, 5(3): 23-36.
ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง. (2566). เผย อปท. ประสบความสำเร็จการซื้อขายคาร์บอนเครดิตครั้งแรกในประเทศไทย นำร่อง 4 จังหวัด. สืบค้นเมื่อ 26 ตุลาคม 2566. จาก https://www.tcijthai.com/news/2023/6/current/13042.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2565). หนังสือวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ ช่วงชั้นที่ 2 และ 3. กรุงเทพมหานคร: บริษัทอินเตอร์ เอ็ดดูเคชั่น ซัพพลายส์ จำกัด. ส่วนส่งเสริมและพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลน
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง. (2559). ปลูกป่าชายเลนคลายร้อนให้โลก. สืบค้นเมื่อ 26 ตุลาคม 2566. จาก https://dmcrth.dmcr.go.th/manpro/detail/11697/.
องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน). (2559). ปลูกต้นไม้…ช่วยลดโลกร้อนได้ยังไงนะ?. สืบค้นเมื่อ 26 ตุลาคม 2566. จาก https://www.tgo.or.th/2020/ file_managers/uploads/file_managers/source/PUBLICATION/final%20Tree_version%2002.pdf.
องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน). (2565). การคำนวณการกักเก็บคาร์บอนของต้นไม้ (Calculation for Carbon Sequestration). T-VER-TOOL-FOR/ AGR-01 Version 03. สืบค้นเมื่อ 26 ตุลาคม 2566. จาก https://ghgreduction.tgo.or.th/th/tver-method/tver-tool/for-agr/download/4497/247/23.html.
องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน). (2566). ผืนป่ากับคาร์บอนเครดิต. สืบค้นเมื่อ 26 ตุลาคม 2566. จาก https://www.tgo.or.th/2023/index.php/th/ post/ผืนป่ากับคาร์บอนเครดิต-150.
