ความเข้าใจเกี่ยวกับการประเมินเพื่อพัฒนา (Formative Assessment)
ความเข้าใจเกี่ยวกับการประเมินเพื่อพัฒนา (Formative Assessment)
“วิธีง่าย ๆ ที่ผู้สอนใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่เริ่มสอนอย่างสม่ำเสมอเกี่ยวกับการเรียนรู้และการสอน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำเสนอข้อมูลที่ทำให้ทั้งผู้สอนและผู้เรียนสามารถนำไปใช้ปรับประสิทธิภาพ การสอนและคุณภาพของการเรียนรู้” คำอธิบายนี้เป็นความหมายของคำว่า การประเมิน (Assessment) ที่กล่าวโดย Thomas Angelo (1991)
จากความหมายข้างต้น การประเมินเป็นกิจกรรมสำคัญที่ไม่ใช่เพียงเพื่อการตรวจสอบการเรียนรู้ แต่เพื่อการพัฒนาการเรียนรู้ ซึ่งการประเมินเพื่อพัฒนา (Formative Assessment) เป็นส่วนสำคัญของกระบวนการเรียนรู้ เนื่องจากทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการเรียนรู้ของนักเรียนและมีประโยชน์ทั้งต่อนักเรียนและครู บทความนี้จะกล่าวถึง ความหมาย ลักษณะสำคัญ และกระบวนการของการประเมินเพื่อการพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างแท้จริง
ความหมายและลักษณะสำคัญของการประเมินเพื่อพัฒนา
การประเมินเพื่อพัฒนาเป็นกระบวนการประเมินที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในกระบวนการเรียนรู้ และดำเนินการได้ในทุกขั้นของการสอน โดยครูและนักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กันหรือทำงานร่วมกันเสมือนหุ้นส่วนที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการเรียนรู้ร่วมกัน การประเมินรูปแบบนี้เป็นการประเมินเพื่อใช้หลักฐานการเรียนรู้หรือผลการประเมินสำหรับการปรับปรุงแก้ไข หรือพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนและปรับปรุงการสอนของครูจนบรรลุ เป้าหมายการเรียนรู้ที่ต้องการ เพื่อให้นักเรียนเกิดความก้าวหน้าในการ เรียนรู้และบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ที่คาดหวังควบคู่กันไป (Sadler, 1989; Bell & Cowie, 2002; Brown, 2008; Heritage, 2010; Popham, 2011; MacMillan, 2014) หรืออาจกล่าวได้ว่า การประเมินเพื่อพัฒนาเป็นกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนรู้ของนักเรียน ตีความหมาย ข้อมูล และใช้ข้อมูลหรือหลักฐานการเรียนรู้เพื่อประกอบการตัดสินใจว่า นักเรียนเกิดการเรียนรู้หรือไม่อย่างไร การเรียนรู้อยู่ห่างจากเป้าหมาย การเรียนรู้เพียงใด ต้องพัฒนาการเรียนรู้ไปในทิศทางใด และต้องพัฒนา การเรียนรู้ให้ไปถึงเป้าหมายการเรียนรู้นั้นอย่างไร ซึ่งจะช่วยให้ครูเข้าใจการเรียนรู้ของนักเรียน และได้ตรวจสอบแผนการสอนที่ตนเองเตรียมมาว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ ควรปรับปรุงแก้ไขอย่างไร แล้วทำการปรับเปลี่ยนการสอนที่กำลังดำเนินการอยู่ให้เหมาะสมกับนักเรียนได้ พร้อมทั้งหาวิธีการที่จะช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนได้ปรับปรุงแก้ไขการเรียนรู้ของตนเองโดยให้ข้อมูลย้อนกลับที่มีคุณภาพแก่นักเรียน รวมทั้งนำข้อมูลมาใช้สำหรับวางแผนการสอนครั้งถัดไปให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะที่นักเรียนก็ใช้ข้อมูลย้อนกลับที่ได้มาปรับปรุงหรือพัฒนาการเรียนรู้ของตนเองให้ดีขึ้นเช่นกัน
การประเมินเพื่อพัฒนามีลักษณะสำคัญสรุปได้ดังนี้
(1) มีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนให้มีความก้าวหน้าและบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ (Learning Goals) และปรับปรุงการสอนของครู (Bell & Cowie, 2001, 2002; Shepard et al., 2005; Greenstein, 2010)
(2) ครูและนักเรียนมีบทบาทสำคัญในการประเมินร่วมกัน ครูมีบทบาทสร้างวัฒนธรรมที่ดีในห้องเรียนให้เป็นสังคมที่ช่วยเหลือและสนับสนุนซึ่งกันและกัน มีสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ดี และเปิดโอกาสให้นักเรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองและแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ ส่วนนักเรียนมีบทบาทเป็นผู้เรียนที่ตื่นตัว (Active Learner) และมีส่วนร่วมในการประเมินผ่านการประเมินตนเองของนักเรียน (Student Self-assessment) และการประเมินโดยเพื่อน (Peer Assessment) การสะท้อนคิดเกี่ยวกับการกระทำของตนเอง และร่วมแสดงความคิดเห็นโดยไม่นิ่งเฉย ซึ่งจะช่วยให้ครูสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนรู้ของนักเรียนได้ (Black and Wiliam, 1998; Bell & Cowie, 2001, 2002; Heritage, 2010)
(3) ใช้วิธีการประเมินที่หลากหลายทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการเพื่อนำข้อมูลหรือหลักฐานการเรียนรู้ที่เก็บรวบรวมได้ไปใช้ในการปรับเปลี่ยนการสอนและวางแผนการสอนให้เหมาะสมกับความต้องการในการเรียนรู้ของนักเรียนในขณะนั้น ซึ่งเป็นการช่วยให้ครูตัดสินใจเกี่ยวกับการสอนของตนเองและสามารถเลือกใช้กลวิธีสอนได้อย่างมีจุดมุ่งหมาย (Bell & Cowie, 2001; Greenstein, 2010)
(4) เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้ สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดและทำได้ในทุกขั้นของการสอน ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในขั้นการสอนเท่านั้น แต่สามารถเกิดได้ตั้งแต่ขั้นนำไปจนถึงขั้นสรุป (Black & Wiliam, 1998; Bell & Cowie, 2001; Greenstein, 2010)
(5) มีการให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการประเมินเพื่อพัฒนา (Sadler, 1989; Bell & Cowie, 2002)
กระบวนการของการประเมินเพื่อพัฒนา
การประเมินเพื่อพัฒนาเป็นกระบวนการประเมินที่มีลักษณะวนซ้ำ เป็นวงจร ซึ่งมีหลายขั้นตอนต่อเนื่องและบูรณาการเข้ากับการสอน ดังภาพ

ภาพ 1 กระบวนการของการประเมินเพื่อพัฒนา (Heritage, 2010)
เนื่องจากนักเรียนแต่ละคนมีเส้นทางการเรียนรู้ (Learning Pathway) หรือความก้าวหน้าในการเรียนรู้ (Learning Progression) ที่ห่างจากเป้าหมายการเรียนรู้ที่ต้องการแตกต่างกัน กล่าวคือ นักเรียนแต่ละคนจะมีช่องว่างระหว่างตำแหน่งหรือสถานะการเรียนรู้ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันกับตำแหน่งหรือสถานะการเรียนรู้ที่นักเรียนและครูต้องการจะไปถึงเมื่อสิ้นสุดบทเรียนแตกต่างกันด้วย การประเมินเพื่อพัฒนาจึงเป็นกระบวนการที่ใช้สำหรับปิดช่องว่างของนักเรียนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ที่ต้องการ โดยมีขั้นตอนดังนี้
(1) กำหนดเป้าหมายการเรียนรู้และเกณฑ์สำหรับความสำเร็จ (Determine Learning Goal and Define Criteria for Success)
เป้าหมายการเรียนรู้และเกณฑ์สำหรับความสำเร็จเป็นสิ่งที่ครูกำหนดขึ้น โดยพิจารณาจากตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ที่กำหนดในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งจะทำให้ทราบเส้นทางการเรียนรู้หรือความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของนักเรียน ในการกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ ครูควรระบุว่านักเรียนจะได้เรียนรู้อะไรในระหว่างบทเรียนหรือเมื่อจบบทเรียน และในการกำหนดเกณฑ์สำหรับความสำเร็จหรือเรียกว่า เกณฑ์ความสำเร็จ ครูควรระบุว่านักเรียนต้องทำอะไรได้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเรียนรู้นั้น โดยเกณฑ์ความสำเร็จจะนำไปใช้เป็นเกณฑ์สำหรับการประเมิน
ในการจัดการเรียนรู้ก่อนที่จะเริ่มบทเรียนครูจะต้องชี้แจงหรืออธิบายเกี่ยวกับเป้าหมายการเรียนรู้และเกณฑ์ความสำเร็จให้นักเรียนเข้าใจและเห็นความสำคัญ รวมทั้งให้นักเรียนใช้เกณฑ์ความสำเร็จเป็นแนวทางในการเรียนรู้ และในระหว่างการจัดการเรียนรู้ทั้งครูและนักเรียนยังสามารถใช้เกณฑ์ความสำเร็จตรวจสอบการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพื่อทำให้การเรียนรู้มีความก้าวหน้าและมุ่งไปสู่เป้าหมายการเรียนรู้ปลายทางให้ได้
(2) เก็บรวบรวมข้อมูลหรือหลักฐานการเรียนรู้ (Elicit Evidence of Learning)
ในการเก็บรวบรวมข้อมูลหรือหลักฐานการเรียนรู้ ครูต้องใช้วิธีการประเมินที่หลากหลายเพื่อให้ทราบว่านักเรียนมีความก้าวหน้าเป็นอย่างไร การเรียนรู้ได้รับการพัฒนาไปสู่เป้าหมายหรือไม่อย่างไร โดยวิธีการประเมินที่ครูสามารถเลือกใช้ได้ เช่น การสังเกตพฤติกรรม การสัมภาษณ์ การพูดคุย การใช้คำถาม การสะท้อนคิด การทำตั๋วออก การทดสอบ การทำภาระงานที่กำหนดให้เพื่อแสดงความสามารถ เช่น การทดลอง การสำรวจ การแก้ปัญหา การปฏิบัติงานเชิงทักษะ การสาธิต การนำเสนอ ซึ่งประเมินโดยครู และสามารถให้นักเรียนประเมินตนเองและประเมินโดยเพื่อนได้ด้วย
โดยทั่วไปวิธีการประเมินควรผสมผสานอยู่ในการสอนของครูที่วางแผนล่วงหน้า แต่บางครั้งอาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในระหว่างการจัดการเรียนรู้โดยที่ครูไม่ได้วางแผนไว้ เช่น เมื่อครูวางแผนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์และตัดสินใจเลือกใช้คำถามเพื่อตรวจสอบว่านักเรียนเข้าใจแนวคิดทางวิทยาศาสตร์นั้นได้ดีเพียงใด อย่างไรก็ตาม ครูอาจได้ข้อมูลดังกล่าวจากการสังเกตในระหว่างการทำกิจกรรมหรือจากการพูดคุยกับนักเรียนซึ่งเกิดขึ้นเองในขณะที่สอนก็ได้ ซึ่งทำให้ครูไม่ได้ใช้คำถามที่เตรียมมาและปรับเปลี่ยนการสอนไปโดยอัตโนมัติ
(3) ตีความหมายข้อมูลหรือหลักฐานการเรียนรู้ (Interpret the Evidence)
เมื่อครูเก็บรวบรวมข้อมูลหรือหลักฐานการเรียนรู้ไปแล้ว สิ่งที่ครูต้องดำเนินการต่อเนื่องคือ การตีความหมายข้อมูลหรือหลักฐานการเรียนรู้ที่รวบรวมได้โดยเปรียบเทียบกับเกณฑ์ความสำเร็จที่กำหนดไว้เพื่อให้ทราบสถานะการเรียนรู้ของนักเรียนที่เป็นอยู่ เช่น สิ่งที่นักเรียนเข้าใจคืออะไร สิ่งที่นักเรียนเข้าใจคลาดเคลื่อนคืออะไร ความรู้และทักษะใดที่นักเรียนมีหรือยังไม่มี และใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อตัดสินใจว่าจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนการสอนไปตามข้อมูลที่ได้รับหรือไม่
กรณีที่ครูพบว่า ข้อมูลที่รวบรวมได้ยังไม่เพียงพอที่จะบ่งบอกสถานะการเรียนรู้ของนักเรียนได้ ครูจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนรู้เพิ่มเติมและปรับเปลี่ยนการสอน เช่น เปลี่ยนแปลงวิธีการประเมินที่เตรียมมา กรณีที่ครูพบว่าข้อมูลที่รวบรวมได้เพียงพอที่จะบ่งบอกสถานะการเรียนรู้ของนักเรียนได้แล้ว ถ้าการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นไปตามเกณฑ์ความสำเร็จ ครูก็ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนการสอนนั้น แต่ถ้าการเรียนรู้ของนักเรียนไม่เป็นไปตามเกณฑ์ความสำเร็จ ครูจำเป็นต้องระบุช่องว่าง แล้วปรับตัวและตอบสนองความต้องการในการเรียนรู้ของนักเรียนต่อไป
ในขณะที่นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ สิ่งที่นักเรียนจะต้องทำควบคู่ไปกับครูก็คือ การกำกับติดตามการเรียนรู้ผ่านการสังเกตตนเอง แล้วตีความหมายข้อมูลโดยเปรียบเทียบกับเกณฑ์ความสำเร็จที่กำหนดไว้ เพื่อให้ทราบว่าการเรียนรู้ของตนเองมีการพัฒนาและเข้าใกล้เป้าหมายการเรียนรู้มากน้อยเพียงใด ทั้งนี้ ครูควรให้นักเรียนสังเกตตนเองอย่างสม่ำเสมอและสื่อสารออกมาอย่างตรงไปตรงมาเพื่อช่วยให้นักเรียนสามารถตัดสินใจที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการเรียนรู้ได้
(4) ระบุช่องว่าง (Identify the Gap)
ภายหลังการตีความหมายข้อมูลหรือหลักฐานการเรียนรู้ ครูต้องเปรียบเทียบสถานะการเรียนรู้ที่นักเรียนเป็นอยู่ในปัจจุบันกับเป้าหมายการเรียนรู้ที่ต้องการเพื่อระบุช่องว่าง ซึ่งจะทำให้ครูทราบว่าปัจจุบันนักเรียนอยู่ห่างจากเป้าหมายการเรียนรู้มากน้อยเพียงใด และมีความต้องการในการเรียนรู้เป็นอย่างไร
(5) ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback)
เมื่อทราบช่องว่างของนักเรียนแล้ว ครูจะต้องใช้ข้อมูลหรือหลักฐานการเรียนรู้เป็นข้อมูลย้อนกลับแก่นักเรียนเพื่อเปลี่ยนแปลงการเรียนรู้และทำให้การเรียนรู้มีความก้าวหน้าไปเป็นลำดับและปิดช่องว่างของนักเรียน
นอกจากข้อมูลย้อนกลับจะมาจากครูแล้ว นักเรียนยังได้รับข้อมูลย้อนกลับผ่านการประเมินตนเอง ซึ่งช่วยให้นักเรียนกำกับติดตามการเรียนรู้ของตนเองอีกทางหนึ่ง และทำให้นักเรียนได้ฝึกคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องเรียนรู้ รวมทั้งกลวิธีหรือกลยุทธ์ที่ต้องใช้ในการเรียนรู้ และวางแผนเพื่อทำให้การเรียนรู้ของตนเองประสบความสำเร็จจนส่งผลให้เกิดการตระหนักรู้ได้ และเมื่อนักเรียนมีส่วนร่วมในการประเมินโดยเพื่อน นักเรียนก็ยังสามารถใช้เกณฑ์ความสำเร็จเพื่อให้ข้อมูลย้อนกลับซึ่งกันและกันอีกด้วย
แนวทางการให้ข้อมูลย้อนกลับที่ครูควรรู้
ในการให้ข้อมูลย้อนกลับ ครูไม่ควรบอกว่านักเรียนถูกหรือผิดและไม่ควรให้เป็นเกรดหรือคะแนนเพียงอย่างเดียว โดยการให้ข้อมูลย้อนกลับที่ดีและมีคุณภาพ ครูควรให้รายละเอียดเกี่ยวกับสถานะการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับเกณฑ์ความสำเร็จอย่างตรงประเด็น เข้าใจง่าย และครบถ้วนในลักษณะการบอกกล่าว พูดคุย มีการใช้ข้อความ เอกสาร รูปภาพ หรือให้ตัวอย่างผลงานที่มีการระบุจุดเด่น จุดที่ต้องการปรับปรุงแก้ไข พร้อมทั้งแนะแนวทางที่นักเรียนจะสามารถนำไปปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนาตนเองได้ ให้ข้อมูลตามความเป็นจริงและทันเวลา เพื่อให้นักเรียนได้แก้ไขข้อผิดพลาดหรือข้อบกพร่อง ตลอดจนสิ่งที่เข้าใจคลาดเคลื่อนของตนเองได้ทันท่วงที (Sadler, 1989; Hattie & Timperley, 2007; Heritage, 2010)
นอกจากนี้การให้ข้อมูลย้อนกลับที่มีประสิทธิภาพยังสามารถทำได้ดังภาพ

ภาพ 2 ลักษณะของการให้ข้อมูลย้อนกลับ (Hattie & Timperley, 2007; Heritage, 2010)
ครูสามารถให้ข้อมูลย้อนกลับแก่นักเรียนได้ทั้งรายบุคคลและเป็นกลุ่ม ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดกระบวนการเรียนรู้ จึงควรอยู่ในบรรยากาศที่เป็นมิตร สร้างความรู้สึกที่ดี เป็นไปในทางเชิงบวก อาจให้กำลังใจและชื่นชมได้ตามความเหมาะสม หลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลที่แสดงอารมณ์ที่ทำให้นักเรียนรู้สึกว่าถูกซ้ำเติม หรือทำให้นักเรียนรู้สึกกดดัน เมื่อให้ข้อมูลย้อนกลับแก่นักเรียนแล้ว ครูก็ควรเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ลงมือปรับปรุงแก้ไขตนเอง และติดตามการปรับปรุงแก้ไขของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าในการเรียนรู้จนกระทั่งบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ที่คาดหวัง (Sadler, 1989; Hattie & Timperley, 2007; Heritage, 2010)
(6) ปรับตัวและตอบสนองความต้องการในการเรียนรู้ (Adapt and Respond to Learning Needs)
เพื่อให้สามารถปิดช่องว่างและส่งเสริมการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งที่ครูจะต้องทำต่อจากการให้ข้อมูลย้อนกลับแก่นักเรียน ก็คือ การใช้ข้อมูลหรือหลักฐานการเรียนรู้มาเป็นข้อมูลย้อนกลับแก่ตนเอง เพื่อปรับเปลี่ยนการสอนหรือจัดประสบการณ์ให้ตรงกับความต้องการในการเรียนรู้ของนักเรียน ขณะเดียวกันนักเรียนก็ใช้ข้อมูลย้อนกลับทั้งจากครูและเพื่อนเพื่อปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาการเรียนรู้ของตนเองให้ก้าวหน้ามากขึ้น
(7) เสริมต่อการเรียนรู้ใหม่ (Scaffold New Learning)
เมื่อครูปรับเปลี่ยนการสอนของตนเองให้ตรงกับความต้องการในการเรียนรู้ของนักเรียนแล้ว สิ่งที่ครูต้องดำเนินการต่อเนื่องคือ การเสริมต่อการเรียนรู้ของนักเรียน โดยให้การสนับสนุนและช่วยเหลือนักเรียนแต่ละคนผ่านวิธีสอนที่เหมาะสม และเปิดโอกาสให้นักเรียนที่มีความรู้ความสามารถมากกว่าให้ความช่วยเหลือแก่นักเรียนที่มีความรู้ความสามารถน้อยกว่า ผ่านการทำงานร่วมกันหรือมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน รวมทั้งจัดให้มีสภาพแวดล้อมที่ดีที่ส่งผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อมต่อการเรียนรู้ ซึ่งการเสริมต่อการเรียนรู้จะช่วยขยายขอบเขตความรู้ความสามารถของนักเรียนให้มีระดับที่สูงขึ้น
(8) ปิดช่องว่าง (Close the Gap)
ในขั้นตอนนี้ครูจะต้องเก็บรวบรวมข้อมูลหรือหลักฐานการเรียนรู้ ตีความหมายข้อมูลหรือหลักฐานการเรียนรู้โดยเปรียบเทียบกับเกณฑ์ความสำเร็จที่ตั้งไว้เพื่อให้ทราบว่าช่องว่างระหว่างสถานะการเรียนรู้ที่นักเรียนเป็นอยู่ในปัจจุบันกับสถานะการเรียนรู้ที่นักเรียนและครูต้องการปิดลงหรือไม่

ภาพจาก: https://www.turnitin.com/blog/assessment-strategies-in-the-classroomraising- the-bar-for-learning
ถ้าช่องว่างปิดไม่ได้ กระบวนการประเมินจะวนซ้ำ โดยครูจะต้องกลับไประบุช่องว่างใหม่ ให้ข้อมูลย้อนกลับ ปรับตัวและตอบสนองความต้องการในการเรียนรู้ แล้วเสริมต่อการเรียนรู้ไปจนกว่าช่องว่างจะปิดได้ ถ้าช่องว่างปิดลงได้ กล่าวคือ นักเรียนเกิดการเรียนรู้ในบทเรียน และสามารถทำในสิ่งที่ต้องการเพื่อแสดงถึงการบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ได้ เมื่อครูกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ใหม่จะทำให้ช่องว่างของนักเรียนเปิด และกระบวนการการประเมินเพื่อพัฒนาก็จะวนซ้ำเพื่อปิดช่องว่างอีกครั้ง
จากข้อมูลเกี่ยวกับการประเมินเพื่อพัฒนาที่กล่าวข้างต้น การประเมินเพื่อพัฒนาเป็นกระบวนการประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนให้เกิดความก้าวหน้าและบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ที่คาดหวังหรือปิดช่องว่างของนักเรียนและการสอนของครูไปพร้อมกัน ซึ่งมีหลายขั้นตอนและต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องตลอดกระบวนการเรียนรู้ การจะทำให้การประเมินเพื่อพัฒนาเกิดประสิทธิภาพได้นั้น สิ่งสำคัญคือ ครูควรแยกการประเมินเพื่อพัฒนาออกจากการให้คะแนนและใช้เป็นการประเมินหลักของการสอน ไม่ละเลยที่จะปรับเปลี่ยนการสอนของตนเองให้สัมพันธ์กับผลการประเมินที่ได้รับ โดยจัดประสบการณ์ให้เหมาะสมกับความต้องการในการเรียนรู้ของนักเรียนในขณะนั้น ให้ข้อมูลย้อนกลับที่ดี มีคุณภาพและประสิทธิภาพเกี่ยวกับการเรียนรู้ของนักเรียน โดยให้เวลานักเรียนได้ลงมือปรับปรุงแก้ไขตนเองและติดตามการปรับปรุงแก้ไขของนักเรียนทุกครั้ง และควรให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการประเมินและกำกับติดตามการเรียนรู้ของตนเองอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้การประเมินเพื่อพัฒนาก็จะเป็นกลไกที่ช่วยให้ครูสามารถขับเคลื่อนการเรียนรู้ของนักเรียนจากตำแหน่งที่เป็นอยู่ไปสู่เป้าหมายการเรียนรู้ที่คาดหวังไว้ได้
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของนิตยสาร สสวท. ปีที่ 51 ฉบับที่ 245 พฤศจิกายน – ธันวาคม 2566
ผู้อ่านสามารถติดตามบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ https://emagazine.ipst.ac.th/245/4/
บรรณานุกรม
Angelo, T.A. (1991). Ten Easy Pieces: assessing higher learning in four dimensions. New Directions for Teaching and Learning, 46: 17-31.
Bell, B. & Cowie, B. (2001). The Characteristics of Formative Assessment in Science Education. Science Education, 85: 536–553. doi: 10.1002/sce.1022
Bell, B. & Cowie, B. (2002). Formative Assessment and Science Education. Kluwer Academic Publishers.
Black, P. & Wiliam, D. (1998). Inside the Black Box: raising standards through classroom assessment. Phi Delta Kappan, 80: 139–148.
Brown, G.T.L. (2008). Conceptions of Assessment: understanding what assessment means to teachers and students. Nova Science Publishers.
Greenstein, L. (2010). What Teachers Really Need to Know about Formative Assessment. ASCD.
Hattie, J. & Timperley, H. (2007). The Power of Feedback. Review of Educational Research, 77(1): 81-112. doi: 10.3102/003465430298487
Heritage, H. M. (2010). Formative Assessment: making it happen in the classroom. Corwin.
MacMillan, J. (2014). Classroom Assessment: principles and practice for effective standards-based instruction. 6th ed. Pearson Education.
Popham, W.J. (2011). Assessment Literacy Overlooked: a teacher educator’s confession. The Teacher Educator, 46(4): 264-273. doi: 10.1080.08878730.2011.605048
Sadler, D.R. (1989). Formative Assessment and the Design of Instructional System. Instructional Science, 18(2): 119-144.
Shepard, L. A. (2005). Linking Formative Assessment to Scaffolding. Educational Leadership, 63(3): 66–71.
