รูบริคเดี่ยว ทางเลือกใหม่ของการใช้เครื่องมือประเมินเพื่อพัฒนา (Single-Point Rubric: An Alternative Tool of Assessment for Learning)
การเปลี่ยนแปลงไปของสังคมโลกยุคใหม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษาหลายมิติ โดยมิติที่สำคัญประการหนึ่งคือการพัฒนาผู้เรียนให้สอดคล้องกับภาวะความเป็นจริงและความจำเป็นในการปรับแนวคิด การจัดการศึกษาแบบระบบโรงเรียนมาเป็นการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้คิดอย่างสร้างสรรค์ สอดคล้อง กับบริบทของโลก (วิจารณ์ พานิช, 2556) การเรียนการสอนในปัจจุบันต้องปรับแนวคิดจากเดิมที่เป็นการเรียนเพื่อสอบไปสู่การเรียนเพื่อค้นหาศักยภาพของผู้เรียนในขณะเดียวกันการวัดและประเมินผลก็ต้องมีการปรับเปลี่ยน เพื่อให้สอดคล้องกับจุดเน้นการเรียนรู้ ซึ่งแนวคิดการประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) เป็นแนวทางที่สอดคล้องกับแนวนโยบายการส่งเสริมผู้เรียน แนวการประเมินช่วยให้ทราบในสิ่งที่ควรส่งเสริมและสิ่งที่ควรได้รับการปรับปรุงช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาตนเองอย่างเต็มศักยภาพตามความสามารถและความสนใจ สอดคล้องกับพัฒนาการของผู้เรียน เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการประเมินผลงานตนเองและเพื่อนร่วมชั้น ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักตัวเอง เชื่อมั่นในตนเอง สามารถพัฒนาตนเองได้ในทิศทางที่เหมาะสม (รัตนาภรณ์ ทรงนภาวุฒิกุล, 2560)
แนวทางการประเมินที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายและบ่อยครั้งมักเป็นเรื่องท้าทายสำหรับครูในการคิดและออกแบบคือ เกณฑ์การให้คะแนน (Scoring Rubrics) ซึ่งครูมักประสบปัญหาในการออกแบบ การเขียนรายละเอียดประเด็นรายการประเมิน การเขียนแจกแจงรายละเอียดเพื่อให้สอดคล้องกับประเด็นและระดับคุณภาพผลงาน ผลการประเมินที่ได้ถูกรายงานในรูปแบบของคะแนน ทำให้ผู้เรียนมุ่งความสนใจไปที่คะแนนประเมินที่ได้ ไม่ได้สนใจว่าผลคะแนนนั้นสะท้อนว่าผู้เรียนทำผลงานอะไรได้ดี และประเด็นอะไรที่ควรได้รับการพัฒนา บทความนี้จึงเสนอทางเลือกของการใช้เครื่องมือการให้คะแนน (Rubrics) เพื่อประเมินงานผู้เรียนที่มีรายละเอียดประเด็นการประเมินเพียงระดับเดียว แนวทางการออกแบบ เครื่องมือประเมิน รวมทั้งการนำไปใช้ในบริบทจริงสอดคล้องกับผลงาน สะท้อนประเด็นข้อเสนอแนะให้กับผู้เรียนได้ตรงประเด็น และยังช่วยให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
รูบริค (Rubric) คืออะไร
รูบริค (Rubric) เป็นเครื่องมือการให้คะแนนที่ไช้ในการประเมินผู้เรียน ประกอบด้วยชุดของเกณฑ์หรือคำอธิบายที่มีความเฉพาะเจาะจง และมีความต่อเนื่องกันและใช้สำหรับวิเคราะห์ผลงานหรือกระบวนการทำงานของผู้เรียน ซึ่งได้มาจากการพิจารณาอย่างรอบคอบของผู้สอนว่าอะไรคือ สิ่งที่มุ่งหวังให้เกิดกับผู้เรียน โดยจะกำหนดคำอธิบายหรือรายละเอียดของเกณฑ์ไว้อย่างชัดเจน มีการจัดลำดับและให้คะแนนโดยแบ่งออกเป็น ระดับคุณภาพต่างๆ เพื่อใช้ระบุความแตกต่างของผลงานหรือประสิทธิภาพของงาน ทั้งในด้านกระบวนการ (การประเมินจากการปฏิบัติ : Process) และ ผลผลิต (ผลงาน/ชิ้นงาน : Product) ของผู้เรียน (รัตนาภรณ์ ทรงนภาวุฒิกุล, 2560)
โดยทั่วไปแล้ว รูบริคการประเมินสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ รูบริคแบบองค์รวม (Holistic Rubric) และรูบริคแบบแยกองค์ประกอบ (Analytic Rubric)
1) รูบริคแบบองค์รวม (Holistic Rubric) เป็นรูบริคที่ใช้ประเมินคุณภาพในลักษณะของภาพรวมผลงานหรือการปฏิบัติงาน เหมาะกับการปฏิบัติที่ต้องการให้ผู้เรียนสร้างสรรค์ผลงาน เป็นคำถามปลายเปิด และ ไม่มีคำตอบที่ตายตัว (Mertler, 2001) ซึ่งการรวมผลการประเมินจะเน้นที่การรวมคะแนนในองค์รวม การประเมินด้วยรูบริคแบบองค์รวมจะสะดวก ต่อการให้คะแนนและประมวลผลคะแนนสรุปได้เร็วกว่าการใช้รูบริคแบบแยกองค์ประกอบ (Nitko, 1996) อย่างไรก็ตาม รูบริคแบบองค์รวมจะทำให้ผู้เรียนทราบผลสะท้อนในรายละเอียดแต่ละประเด็นน้อย
ตัวอย่างรูบริคแบบองค์รวม การเขียนเรียงความ
ที่มา: กมลวรรณ ตังธนกานนท์ (2564) การประเมินการเรียนรู้ตามสภาพจริง: แนวทางที่สอดคล้องกับรูปแบบการสอนในยุคชีวิตวิถีใหม่
2) รูบริคแบบแยกองค์ประกอบ (Analytic Rubric) เป็นรูบริคที่ใช้ประเมินคุณภาพในลักษณะที่ต้องการมุ่งเน้นลักษณะเฉพาะของคำตอบ (Nitko, 1996) หรือใช้สำหรับประเมินประเภทคำตอบที่อาจเป็นไปได้ 1 หรือ 2 รูปแบบ โดยที่ไม่ได้ไห้ความสำคัญกับความคิดสร้างสรรค์ของคำตอบ ผลการประเมินจะมีคะแนนหลายส่วนก่อนที่จะนำไปรวมเป็นคะแนนผลรวมของแต่ละรายการตรวจสอบ ซึ่งการใช้รูบริคแยกองค์ประกอบจะเป็นการประเมินหลายมิติ (Mertler, 2001) อย่างไรก็ตาม การใช้รูบริคแบบแยกองค์ประกอบอาจทำให้กระบวนการให้คะแนนต้องใช้เวลามากกว่าปกติ เพราะเป็นการประเมินหลายลักษณะ รวมถึงการประเมิน เป็นรายบุคคล การสร้างและการใช้รูบริคแบบแยกองค์ประกอบจึงใช้เวลามาก
ตัวอย่างรูบริคแบบแยกองค์ประกอบ การเขียนเรียงความ
ที่มา: กมลวรรณ ตังธนกานนท์ (2564) การประเมินการเรียนรู้ตามสภาพจริง: แนวทางที่สอดคล้องกับรูปแบบการสอนในยุคชีวิตวิถีใหม่
การเลือกใช้รูบริคแต่ละประเภทขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และเป้าหมายของผู้สอน หากต้องการประเมินผลงานโดยภาพรวม ไม่ได้แยกประเด็นย่อยแต่อย่างใด สามารถใช้รูบริคประเมินองค์รวม ไม่มีการระบุ เจาะจงในประเด็นย่อย ใช้เพื่อการพิจารณาผลงานโดยองค์รวม อย่างไรก็ตาม การประเมินแบบองค์รวม (Holistic) มีจุดด้อยในเชิงข้อมูลที่ได้ อาจไม่ได้ละเอียดและอาจมีความคลาดเคลื่อนจากผลงานจริงไปบ้าง ในขณะที่รูบริคแบบแยกองค์ประกอบ (Analytic) จะเป็นการประเมินที่มีความละเอียดของประเด็นการประเมินแยกเป็นรายการย่อย เพื่อนำไปคิดเป็นข้อมูลในภาพรวมทั้งหมดของผลงานนักเรียน ซึ่งรูบริคแบบแยกองค์ประกอบ จะช่วยให้เห็นภาพระดับผลงานในแต่ละประเด็นย่อยได้ชัดเจนมากขึ้น แต่อาจมีความยุ่งยากในการเขียนรายการประเมินและให้คะแนนประเมินที่มากกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นประเมินแบบองค์รวม (Holistic) หรือประเมินแบบแยกองค์ประกอบ (Analytic) ต่างก็ต้องกำหนดระดับคะแนนประเมินและรายละเอียดข้อบ่งชี้ของแต่ละระดับคะแนนประเมิน ที่กำหนดเพื่อให้สามารถระบุคะแนนได้เมื่อนำไปใช้งานจริง
รูบริคเดี่ยว (Single-point Rubric)
การออกแบบรูบริคประเมินทั้งสองรูปแบบข้างต้นต้องใช้เวลาในการเขียนรายละเอียดประเด็นรายการประเมิน แจกแจงรายละเอียดเพื่อให้สอดคล้องกับประเด็นและระดับคุณภาพ และผลการประเมินที่ได้ถูกรายงานในรูปแบบของคะแนน ทำให้ผู้เรียนมุ่งความสนใจไปที่คะแนนประเมินที่ได้ สนใจว่าผลคะแนนนั้นสื่อความต่อการเรียนรู้ของตนเองอย่างไร เป็นการจำกัดความสามารถผู้เรียนด้วยเหตุที่ว่าคะแนนสูงสุดเป็นเท่าใด ต้องทำอะไรได้ แต่ไม่ได้บอกว่าควรมีการพัฒนาในประเด็นใด และประเด็นใดที่ทำได้ดีกว่าที่คาดหวัง จึงเกิดแนวคิดการใช้เครื่องมือประเมินรูปแบบใหม่ เพื่อเป็นทางเลือกในการประเมินผลงานที่สะท้อนข้อเท็จจริง ส่งเสริมพัฒนาการผู้เรียนแต่ละคน โดยเครื่องมือประเมินแบบใหม่นี้ เรียกว่า Single-point Rubric (Fluckiger, 2010) ซึ่งในที่นี้จะเรียกเป็นภาษาไทยว่า รูบริคเดี่ยว ซึ่งเป็นแนวคิดของการปรับประยุกต์จากรูบริคประเมินที่แบ่งระดับคุณภาพของผลงาน โดยมีการเขียนรายละเอียดระดับคุณภาพของผลงานเพียงระดับเดียวคือ ระดับที่คาดหวัง หรือระดับที่ผู้ประเมินเห็นว่าสิ่งที่คาดหวังจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เกิดขึ้น จากนั้นจึงพิจารณาผลงานและให้ข้อเสนอแนะหรือข้อพิจารณาเพิ่มเติมหากเห็นว่าผลงานผู้เรียนยังไม่ถึงเกณฑ์ตามระดับคุณภาพที่คาดหวัง หรือหากผลงานผู้เรียนทำได้ดีเกินที่คาดหวังแล้วอาจให้ข้อคิดเห็นเป็นการเสนอแนะเพื่อต่อยอดให้ดียิ่งขึ้น จุดเด่นที่สำคัญประการหนึ่งของการใช้รูบริคเดี่ยวคือ การได้ให้ข้อเสนอแนะกับผู้เรียนในลักษณะรายบุคคล ไม่ได้เน้นเพื่อการเปรียบเทียบกับคนอื่น ข้อเสนอแนะจากแบบประเมินช่วยให้ผู้เรียนทราบข้อเสนอแนะในประเด็นที่ควรพัฒนาหรือประเด็นที่ทำได้ดีกว่าที่คาดหวัง ดังนั้น ผู้เรียนจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับระดับคะแนนเหมือนการประเมินด้วยรูบริคทั่วไป
ภาพ 1 รูบริคเดี่ยวสำหรับประเมิน การนำเสนอ
ที่มา: https://www.teachthought.com/pedagogy/single-point-rubrics/
ตัวอย่างรูบริคเดี่ยว
ตัวอย่างรูบริคเดี่ยวสำหรับประเมินหัวข้อการนำเสนอ ดังภาพ 1 จะเห็นได้ว่า รายละเอียดคุณภาพที่ปรากฎในตารางนั้นจะมีเพียงข้อมูลที่บอกระดับคุณภาพที่เป็นระดับมาตรฐาน (Standard) ที่คาดหวังและต้องการให้ผู้เรียนทำได้ โดยมีการแบ่งประเด็นย่อยภายใต้มาตรฐานการนำเสนอ ออกเป็นประเด็นสำคัญ 3 ประเด็น ได้แก่
1) การวางแผน (Planning) มีรายละเอียดระดับคุณภาพ ตามมาตรฐานที่คาดหวังคือ มีการจัดลำดับการนำเสนอเป็นอย่างดี ใส่ใจในรายละเอียดความสำคัญจำเป็นต่อการนำเสนอให้กับกลุ่มผู้ฟัง
2) เนื้อหานำเสนอ (Substance) มีระดับคุณภาพมาตรฐานที่คาดหวังคือ การนำเสนอแสดงถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งในประเด็นแนวคิด หรือคำถามสำคัญของเรื่องที่นำเสนอ
3) การสื่อสาร (Delivery) มีระดับคุณภาพมาตรฐานที่คาดหวังคือ มีการนำเสนอ สื่อสารให้กับผู้ฟังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้เขียนได้ทดลองออกแบบและใช้แบบประเมินรูบริคเดี่ยวกับ ผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในชั่วโมงกิจกรรมเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ เวลา 2 ชั่วโมง โดยกิจกรรมการเรียนรู้เป็นเรื่อง ภาพสิ่งประดิษฐ์ทาง วิทยาศาสตร์แห่งโลกอนาคต มีโจทย์สถานการณ์คือ ให้ผู้เรียนวาดภาพสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ที่คิดว่าจะเกิดขึ้นในโลกอนาคต ผู้เรียนมีการตั้งชื่อภาพวาด พร้อมอธิบายแนวคิดของสิ่งประดิษฐ์นั้นว่าเกี่ยวข้องกับ หลักการทางวิทยาศาสตร์อะไร วิธีการทำงานหรือการใช้งานสิ่งประดิษฐ์นั้นเป็นอย่างไร และทดลองใช้เครื่องมือประเมินรูบริคเดี่ยวโดยให้เพื่อนร่วมชั้นประเมินกันเอง โดยกระบวนการของการพัฒนารูบริคเดี่ยวเริ่มจากการใช้รูบริคแบบแยกองค์ประกอบที่มีรายการประเมินย่อยและระดับคะแนนประเมินคุณภาพ ดังตาราง 1 จากนั้น พิจารณาเลือกระดับความคาดหวังที่ต้องการให้ผู้เรียนได้รับจากการทำกิจกรรม ซึ่งในที่นี้ได้เลือกระดับ คุณภาพ 3 ซึ่งเป็นระดับผลงานเกือบสูงสุด (การกำหนดระดับความคาดหวังขึ้น กับครูผู้ออกแบบและการจัดการเรียนรู้ อาจเป็นระดับสูงสุดหรือต่ำกว่าหากเห็นว่ามีความเหมาะสมกับระดับพัฒนาการของผู้เรียน) แล้วจึงนำไปใช้เป็นคำอธิบายแต่ละรายการประเมิน เพื่อใช้ในการประเมินผลงานผู้เรียน แต่ละคน ดังตาราง 2
ตาราง 1 รูบริคประเมินผลงาน ภาพวาดสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์แห่งโลกอนาคต
ตาราง 2 รูบริคเดี่ยวประเมินผลงาน ภาพวาดสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์แห่งโลกอนาคต
ตัวอย่างผลงานนักเรียนจากการใช้แบบประเมินรูบริคเดี่ยวภาพ 2 ตัวอย่างผลงานนักเรียน ภาพสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์แห่งโลกอนาคต
ภาพ 3 ตัวอย่างผลการใช้รูบริคเดี่ยวประเมินผลงาน
จากตัวอย่างผลงานภาพวาดสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์แห่งโลกอนาคต (ภาพ 2) ผู้เรียนตั้งชื่อภาพวาดว่า "เครื่องโคลนนิ่ง" พร้อมกับเขียนอธิบายแนวคิดหลักการที่ใช้ในการออกแบบและสร้างเครื่องโคลนนิ่ง การใช้และประโยน์ของเครื่องมือ และเมื่อผู้เรียนวาดผลงานเสร็จ ผู้สอนจึงได้ให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนผลงานกับเพื่อนร่วมชั้นเพื่อประเมินและให้ข้อเสนอแนะกับเพื่อน โดยใช้แบบประเมินรูบริคเดี่ยวที่ผู้สอนได้ออกแบบไว้ จะเห็นได้ว่าผู้เรียนประเมินผลงานเพื่อนร่วมชั้น (ภาพ 3) โดยมีข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาและมีประเด็นข้อคิดเห็นสะท้อนกับเพื่อนร่วมชั้นได้เป็นอย่างดี ทำให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างเพื่อนผู้เรียนไม่ได้สนใจคะแนนประเมิน แต่จะได้ทราบข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะที่ได้รับ ดังนั้น แนวทางการประเมินด้วยรูบริคเดี่ยวข้างต้นจึงสะท้อนได้อย่างชัดเจนในลักษณะของการประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) ผู้เรียนได้เรียนรู้จากข้อเสนอแนะของเพื่อน (Peer Assessment) ซึ่งสอดคล้องกับการประเมินเพื่อพัฒนาในด้านการเรียนรู้จากการประเมิน ซึ่งเป็นแนวทางการประเมินเพื่อพัฒนา (Assessment for Learning) ได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม กิจกรรมการประเมินนี้ อาจมีข้อจำกัดด้านความถูกต้องตามแนวคิด ทฤษฎี หรือหลักการทางวิทยาศาสตร์รวมถึงภาษาที่ผู้เรียนใช้อาจมีเขียนถูกบ้างผิดบ้าง เนื่องจากระดับความสามารถของผู้เรียน และผู้เรียนอาจยังไม่มีความรู้ในเนื้อหาที่กล่าวถึงมากนักในการอธิบายผลงานตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งท้าท้ายต่อไป สำหรับครูที่ต้องนำผลงานไปประเมินเพิ่มเติม เพื่อให้ผู้เรียนได้ทราบแนวคิดที่ถูกต้องหรือมีความเป็นไปได้ในการทำงานจริงต่อไป
ข้อดีของการใช้แบบประเมินรูบริคเดี่ยว (Danah H, 2017)
1) ช่วยสะท้อนภาพทั้งด้านจุดแข็งและจุดอ่อนของผลงานผู้เรียน ประเด็นการประเมินแต่ละข้อช่วยให้ครูให้แนวคิดหรือข้อแนะนำที่มีความหมายกับสิ่งที่ผู้เรียนทำได้ดีแล้ว และในสิ่งที่สามารถปรับปรุงพัฒนาได้อีก
2) ไม่ทำให้เกิดข้อจำกัดที่จะกีดกันความสามารถของผู้เรียน การประเมินด้วยรูบริคเดี่ยวไม่ได้มุ่งให้มีความครอบคลุมทุกประเด็นของผลงาน แต่เป็นการช่วยชี้แนะแนวทางให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดอย่างสร้างสรรค์ ทำงานด้วยวิธีการที่จำเพาะของแต่ละคน ช่วยกระตุ้นผู้เรียนไม่ให้รอครูบอกวิธีการฝ่ายเดียว แต่จะช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนสร้างสรรรค์ หรือทำผลงานด้วยวิธีของตนเอง
3) มุ่งเน้นที่ผลงานผู้เรียนแต่ละคน ไม่ได้เน้นที่การเปรียบเทียบผลงานหรือแข่งขันกับคนอื่น ผู้เรียนแต่ละคนจะได้รับคำแนะนำ ข้อเสนอแนะ ที่เป็นลักษณะเฉพาะแต่ละผลงาน
4) ช่วยให้ผู้เรียนไม่จดจ่อที่ผลคะแนนเท่านั้น แบบประเมินถูกออกแบบมาเพื่อเน้นที่การให้ข้อมูลเชิงพรรณา การเขียนข้อเสนอแนะให้กับผู้เรียนรายคนมากกว่าการให้ระดับผลการเรียน (Grade) จึงทำให้ผู้เรียนไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การสอนของครูเพื่อทำคะแนนให้ได้ดีเท่านั้น แต่จะช่วยให้ผู้เรียนมองไปที่ประสบการณ์ที่ได้จากการทำกิจกรรมหรือ ภาระงานตามที่ได้รับมอบหมายมากกว่าผลคะแนน
5) มีความยืดหยุ่น ไม่มีคำอธิบายที่กำหนดตายตัว ผู้เรียนจะได้รับคำแนะนำ หรือข้อคิดเห็นที่ชัดเจนจากประเด็นที่ครูเขียนอธิบาย และยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อผลงาน ตนเอง ซึ่งต่างไปจากการประเมินแบบองค์รวมหรือแบบแยกองค์ประกอบ ทั่วไปที่ไม่สามารถสะท้อนผลในลักษณะคล้ายกันนี้ได้
6) เป็นวิธีการประเมินที่เข้าใจได้ง่าย มีรายละเอียดคำอธิบายในแบบประเมินน้อยกว่ารูบริคที่ใช้กันทั่วไป ซึ่งจะเป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้เข้าใจทั้งประเด็นรายการประเมินและข้อแนะนำของครู ซึ่งจะทำให้ ผู้เรียนจดจำทั้งสองประเด็นได้ง่ายขึ้น
ข้อเสนอแนะการนำไปใช้
แม้ว่าการใช้งานจริงของรูบริคเดี่ยวอาจต้องใช้เวลาในการประเมิน เพื่อให้ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะกับผลงานแต่ละรายการของผู้เรียนมากกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม ผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาตนเองได้ตรงประเด็น เห็นเป็นรูปธรรม สะท้อนการประเมิน ตามสภาพจริง ส่งเสริมการพัฒนา (Assessment for Learning) มากกว่าการตัดสิน (Assessment of Learning) และยังช่วยให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ระหว่างการประเมิน (Assessment as Learning) ผู้เรียนไม่ได้สนใจหรือให้ความสำคัญกับคะแนนที่ได้ ดังนั้น การใช้รูบริคเดี่ยวจึงช่วยสร้างคุณค่าของการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน คุ้มค่ากับเวลาที่ครูใช้ในการพัฒนา เครื่องมือและการใช้ประเมินจริง
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของนิตยสาร สสวท. ปีที่ 51 ฉบับที่ 241 มีนาคม – เมษายน 2566
ผู้อ่านสามารถติดตามบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ https://emagazine.ipst.ac.th/241/38/
บรรณานุกรม
Danah, H. (2017). 6 Reasons to Try a Single-Point Rubric. Retrieved February 27, 2023, from https://www.edutopia.org/article/6-reasons-try-single-point-rubric/.
Fluckiger, J. (2010). Single Point Rubric: A tool for responsible student self-assessment. Teacher Education Faculty Publications. Paper 5. Retrieved November 22, 2022, from http://digitalcommons.unomaha.edu/tedfacpub/5.
Mertler, Craig A. (2001). Designing scoring rubrics for your classroom. Practical Assessment, Research & Evaluation, 7(25). Retrieved November 22, 2022, from https://scholarworks.umass.edu/cgi/viewcontent.cgi?article=1108&context=pare.
Nitko, A. J., & Nitko, A. J. (1996). Educational assessment of students. Englewood Cliffs, N.J: Merrill.
กมลวรรณ ตังธนกานนท์ (2564). การประเมินการเรียนรู้ตามสภาพจริง: แนวทางที่สอดคล้องกับรูปแบบการสอนในยุคชีวิตวิถีใหม่. สืบค้นเมื่อ 4 มีนาคม 2566, จาก https://registrar.ku.ac.th/wp-content/uploads/2022/06/กมลวรรณ_ประเมินตามจริง64.pdf.
รัตนาภรณ์ ทรงนภาวุฒิกุล. (2560). การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ด้วยการให้คะแนนแบบรูบริค: Scoring Rubrics. วารสารบัณฑิตวิทยาลัย. 12(1): มกราคม - มิถุนายน 2560.
วิจารณ์ พานิช. (2556). การสร้างการเรียนรู้สู่ศตวรรษที่ 21. มูลนิธิสยามกัมมาจล กรุงเทพมหานคร: ส.เจริญการพิมพ์.
-
18302 รูบริคเดี่ยว ทางเลือกใหม่ของการใช้เครื่องมือประเมินเพื่อพัฒนา (Single-Point Rubric: An Alternative Tool of Assessment for Learning) /other-article/item/18302-14-01-2025เพิ่มในรายการโปรด