แนวทางการสอนการอ่าน เพื่อพัฒนาสมรรถนะด้านการจับใจความ การแปลความ การตีความ การขยายความ การวิเคราะห์ การประเมิน และการวิพากษ์
สมรรถนะหรือความสามารถในการจับใจความ แปลความ ตีความ ขยายความ วิเคราะห์ ประเมิน และวิพากษ์ เรื่องที่อ่าน ทั้งจากสื่อสิ่งพิมพ์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก ผู้ที่มีสมรรถนะดังกล่าวสูงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ สูง
จากผลการประเมินของ PISA* ที่ดำเนินการโดย OECD** ซึ่ง ได้ประเมินนักเรียนที่มีอายุ 15 ปี ของประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการ พบว่านักเรียนไทยมีสมรรถนะด้านการอ่านต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ของนักเรียนในกลุ่มประเทศ OECD มาก นักเรียนไทยอายุ 15 ปี มากกว่าร้อยละ 50 มีความสามารถในการอ่านต่ำกว่าระดับ 2 ซึ่ง PISA ได้ให้ความหมายไว้ว่า ผู้ที่มีผลการประเมินความสามารถด้านการอ่านต่ำกว่าระดับ 2 จะเป็นผู้ที่มีความสามารถด้านการอ่านไม่เพียงพอที่จะใช้ ทั้งเพื่อการศึกษาเรียนรู้ การดำรงชีวิต และการประกอบอาชีพ ผลจากการประเมิน ดังกล่าวบ่งชี้ว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีการปฏิรูปการสอนการอ่าน โดยเร่งด่วน
เมื่อนักเรียนได้อ่านบทความหรืองานเขียนที่กำหนดให้แล้ว ครูใช้คำถามที่เตรียมไว้ถามนักเรียน โดยให้นักเรียนตอบคำถาม และอภิปรายกันในห้องเรียน โดยอาจให้นักเรียนตอบหรืออภิปรายเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่ม ที่สำคัญเมื่อให้นักเรียนคนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งตอบแล้ว ครูต้องเปิดโอกาสและกระตุ้นให้นักเรียนคนอื่นๆ หรือกลุ่มอื่นๆ แสดงความคิดเห็นว่า
- นักเรียนเห็นด้วยกับคำตอบของเพื่อนไหม เพราะเหตุใด
- ใครมีคำตอบอื่นที่ต่างไปจากนี้อีกไหม
- นักเรียนคิดว่าเพื่อนใช้ข้อมูลตรงไหน/ส่วนไหนของเรื่องที่อ่าน ในการตอบคำถามนี้
- ใครจะช่วยตกแต่งคำตอบของเพื่อนให้ดีและชัดเจนมากขึ้นอีกไหม ฯลฯ
บางคำถามอาจมีคำตอบที่เป็นไปได้มากกว่า 1 คำตอบ ถ้านักเรียนตอบแล้วสามารถให้เหตุผลที่เหมาะสมและสมเหตุสมผลก็ถือเป็นคำตอบที่ยอมรับได้ บางคำถามครูอาจสะท้อนให้นักเรียนเห็นสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการอ่านบทความหรืองานเขียน ผู้เขียนบทความอาจไม่ได้เขียนไว้ในบทความหรืองานเขียนนั้นอย่างตรงไปตรงมา ผู้อ่านจำเป็นต้องสรุปความ ตีความ ขยายความด้วยตนเอง ในบางครั้งผู้อ่านจำเป็นต้องประเมิน ความเหมาะสม ความถูกต้อง และความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่มีอยู่ในบทความหรืองานเขียนนั้นๆ รวมถึงการประเมินจุดประสงค์ของผู้เขียน บทความนั้นด้วย
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนการอ่านที่กล่าวถึงข้างต้น เน้นใช้วิธีให้ครูตั้งคำถามแล้วให้นักเรียนตอบปากเปล่า และกระตุ้นให้นักเรียนคนอื่นแสดงความคิดเห็นหรืออภิปรายคำตอบของเพื่อน โดยกิจกรรม ทั้งหมดทำในชั่วโมงสอน
ในการสอนนอกจากครูเป็นผู้ตั้งกระทู้คำถามให้นักเรียนตอบแล้ว ครูควรส่งเสริมและเปิดโอกาสให้นักเรียนเป็นผู้ตั้งกระทู้คำถามจากเรื่องที่อ่านให้เพื่อนนักเรียนตอบด้วยการตั้งกระทู้คำถามดังกล่าว นักเรียนต้อง อ่านและวิเคราะห์บทความหรืองานเขียนนั้นโดยละเอียด จึงจะสามารถ ตั้งกระทู้คำถามที่ดีได้
ครูอาจเปลี่ยนกิจกรรมจากการให้นักเรียนตอบปากเปล่าเป็นให้นักเรียนเขียนคำตอบบนกระดาษหรือบนหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือแท็บเล็ตของนักเรียนเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่ม แล้วครูเลือกคำตอบของนักเรียนบางคนหรือบางกลุ่มมาแสดงบนจอของห้องเรียนหรือเขียนบนกระดานดำ แล้วกระตุ้นให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นหรืออภิปรายคำตอบเหล่านั้นของเพื่อน
ในการสอนเพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านอีกวิธีหนึ่งคือ ครู มอบบทความหรืองานเขียนพร้อมคำถามให้นักเรียนหรือกลุ่มของนักเรียน ไปอ่านและเขียนคำตอบเป็นการบ้านส่งครู กรณีนี้ครูจะมีเวลาเลือกคำตอบของนักเรียนบางคนหรือบางกลุ่มที่เห็นว่ามีประเด็นที่ควรจะให้นักเรียนทั้งห้องได้เห็นและได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นหรืออภิปราย ทั้งในประเด็นที่ดีที่เป็นตัวอย่างที่ถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ หรือประเด็นที่นักเรียนผู้ตอบยังมีความเข้าใจไม่ชัดเจนหรือคลาดเคลื่อน หรือยังมีประเด็นอื่นๆ ที่นักเรียนทั้งห้องควรรู้ และถ้าครูเห็นว่ามีนักเรียนบางคนยังไม่สามารถจับประเด็น สรุป วิเคราะห์ ตีความ ฯลฯ เรื่องที่อ่านได้ ครูควรสอนเสริมให้กับนักเรียนเหล่านั้นเป็นรายบุคคล
ภาพจาก : https://www.weeboon.com/en/campaign/provide-education-in-the-english-language-to-underprivileged-children-of-thailand
หลังจากที่นักเรียนได้มีประสบการณ์ในการอภิปราย วิเคราะห์ และวิพากษ์คำตอบของเพื่อนตามรายละเอียดข้างต้นได้ระยะหนึ่งแล้ว ขั้นต่อไปครูอาจแบ่งนักเรียนในห้องเป็นกลุ่ม แล้วมอบหมายให้นักเรียนแต่ละกลุ่มไปค้นหาและเลือกอ่านบทความหรืองานเขียนจากแหล่งต่างๆ ตามความสนใจ ทั้งจากสื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือโซเชียลมีเดีย แล้วให้นักเรียนแต่ละกลุ่มตั้งคำถามจากเรื่องที่ตนเองเลือกอ่าน
หลังจากครูตรวจสอบคำถามเบื้องต้นแล้ว จึงนำบทความหรืองานเขียนพร้อมคำถามที่นักเรียนตั้งขึ้นมาแลกเปลี่ยนให้เพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งได้อ่านและตอบคำถามเหล่านั้น แล้วให้กลุ่มนักเรียนเจ้าของคำถามเป็นผู้วิพากษ์แสดงความคิดเห็นต่อคำตอบของเพื่อน ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้กลุ่มเพื่อนผู้ตอบคำถามได้แสดงความคิดเห็นโต้แย้ง รวมถึงอภิปรายเพื่อวิเคราะห์ วิพากษ์คำถามที่เพื่อนตั้งขึ้นด้วย
กิจกรรมรูปแบบอื่นๆ ที่สามารถใช้ในการสอนการอ่านได้ดี เช่น
- ให้นักเรียนระบุคำสำคัญจากเรื่องที่อ่าน
- ให้นักเรียนอ่านข้อความที่ไม่มีชื่อเรื่อง แล้วให้นักเรียนแข่งขันกัน ตั้งชื่อเรื่องพร้อมให้เหตุผลประกอบในการตั้งชื่อเรื่อง แล้วให้เพื่อนแสดงความคิดเห็น วิพากษ์ วิจารณ์
- ให้นักเรียนเขียนสรุปความใหม่โดยใช้สำนวนถ้อยคำของตนเอง
- ให้นักเรียนย่อเรื่องที่อ่าน
- ให้นักเรียนวิเคราะห์วัตถุประสงค์ของผู้เขียน (ทำไมผู้เขียนจึง เขียนบทความนี้ และบทความนี้ ผู้เขียนต้องการสื่อสารให้กับกลุ่มเป้าหมายใดกลุ่มเป้าหมายหนึ่งโดยเฉพาะหรือไม่) และให้เหตุผลว่าเหตุใดนักเรียน จึงวิเคราะห์เช่นนั้น
- ให้นักเรียนร่วมกันวิเคราะห์ว่า สาระในเรื่องที่อ่านส่วนใดเป็นข้อเท็จจริง และส่วนใดเป็นความเห็นของผู้เขียน
ในการสอนครูควรกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ระหว่างนักเรียนให้มาก พยายามฝึกให้นักเรียนรู้จักวิเคราะห์ และหาหลักฐานหรือข้อมูลมาประกอบการวิเคราะห์ วิพากษ์ และวิจารณ์ โดยครูเน้นให้นักเรียนวิเคราะห์ วิพากษ์ และวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ในลักษณะ “ติเพื่อก่อ” ไม่ใช่ในลักษณะ “จับผิด” เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เป็นการฝึกให้นักเรียนเป็นคนใจกว้าง ยอมรับฟัง ความคิดเห็น หรือคำติชมซึ่งกันและกัน
อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือ ในปัจจุบันมีผู้เขียนบทความหรือ ผลิตงานเขียนหรือแปลงานเขียนเผยแพร่จำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นทวีคูณ ทั้งทางสื่อสิ่งพิมพ์ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ มีบทความและ งานเขียนจำนวนหนึ่งที่อาจมีการบิดเบือนข้อเท็จจริง ผู้เขียนมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เขียนเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือกลุ่มพวกพ้องของตนเอง สร้างความเข้าใจผิด สร้างความเกลียดชังซึ่งกันและกันในสังคม ฯลฯ โดยเฉพาะบทความหรืองานเขียนที่เผยแพร่ทางโซเชียลมีเดียทั้งหมด เป็นอันตรายอย่างมากสำหรับผู้รู้ไม่เท่าทัน
ภาพจาก : https://www.thestar.com.my/metro/metro-news/2022/07/26/teachers-use-newspapers-in-lessons
ในการสอนครูจึงควรแนะนำให้นักเรียนได้ตระหนักในเรื่องเหล่านี้ ครูควรยกตัวอย่างบทความหรืองานเขียนที่ผู้เขียนมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เขียนเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือกลุ่มพวกพ้องของตนเอง สร้างความเข้าใจผิด สร้างความเกลียดชังซึ่งกันและกัน ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นๆ ให้นักเรียนได้เห็นเป็นตัวอย่างด้วย
การพัฒนาสมรรถนะด้านการอ่าน นอกจากการให้นักเรียนอ่าน บทความหรืองานเขียนที่กำหนดให้ 1 เรื่อง ตามรายละเอียดดังกล่าวแล้ว การให้นักเรียนวิเคราะห์ ประเมิน เปรียบเทียบงานเขียน 2 เรื่อง ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถพัฒนาสมรรถนะด้านการอ่านของนักเรียนได้อย่างดียิ่ง โดยอาจใช้คำถามต่อไปนี้ถามให้นักเรียนตอบทั้งปากเปล่าหรือเขียนตอบ แล้วให้เพื่อนอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เช่น
- งานเขียนทั้งสองเรื่องพูดถึงเรื่องอะไร เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
- สาระหลักของงานเขียนทั้งสองคืออะไร เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
- สาระหลักร่วมกันของงานเขียนทั้งสองคืออะไร
- โครงสร้างของงานเขียนทั้งสองเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
- ภาษาที่ใช้ในงานเขียนทั้งสองเป็นอย่างไร เหมือนหรือแตกต่างกัน
- จุดประสงค์ของงานเขียนทั้งสองนี้คืออะไร เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
- งานเขียนทั้งสองมีความเหมือนและต่างกันอย่างไร
- รูปแบบการเขียนของงานเขียนทั้งสองเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
- งานเขียนทั้งสองมีวิธีการที่จะบรรลุวัตถุประสงค์เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร
- เปรียบเทียบภาษาที่ใช้ในงานเขียนทั้งสองว่าเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร
- งานเขียนทั้งสองสามารถสื่อสารกับผู้อ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
- ชื่อเรื่องของงานเขียนแต่ละเรื่องดึงความสนใจและสะท้อนถึงสาระของเรื่องที่เขียนหรือไม่ อย่างไร
- กลวิธีในการใช้ส่วนประกอบต่างๆ เช่น โครงสร้าง น้ำเสียง ภาพ เครื่องมือทางการประพันธ์ ฯลฯ ของผู้เขียนสามารถสื่อสารให้บรรลุจุดประสงค์ได้เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
- งานเขียนทั้งสองสามารถสื่อสารกับผู้อ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
- งานเขียนทั้งสองมีเป้าหมายเขียนให้ใครอ่าน เป็นคนกลุ่มเดียวกันหรือไม่ ทราบได้อย่างไร ฯลฯ
*PISA ย่อมาจาก Programme for International Student Assessment
**OECD ย่อมาจาก The Organisation for Economic Co-operation and Development
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของนิตยสาร สสวท. ปีที่ 51 ฉบับที่ 243 กรกฎาคม – สิงหาคม 2566
ผู้อ่านสามารถติดตามบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ https://emagazine.ipst.ac.th/243/4/
-
18363 แนวทางการสอนการอ่าน เพื่อพัฒนาสมรรถนะด้านการจับใจความ การแปลความ การตีความ การขยายความ การวิเคราะห์ การประเมิน และการวิพากษ์ /other-article/item/18363-21-04-2025เพิ่มในรายการโปรด
-
คำที่เกี่ยวข้อง
