logo IPST4 IPST4
  • วีดิทัศน์
  • คลังภาพ
  • บทความ
  • โครงงาน
  • บทเรียน
  • แผนการสอน
  • E-Books
    • คู่มือครู
    • คู่มือการใช้หลักสูตร
    • ชุดสื่อ 60 พรรษา
    • หนังสือเรียน
    • Ebook อื่นๆ
  • Apps
  • เกี่ยวกับ scimath
  • ติดต่อเรา
  • สรุปข้อมูล
  • แผนผังเว็บไซต์
ลงชื่อเข้าสู่ระบบ
ลงชื่อเข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมรหัสผ่าน
  • คำถามที่พบบ่อย
  • วีดิทัศน์
  • คลังภาพ
  • บทความ
  • โครงงาน
  • บทเรียน
  • แผนการสอน
  • E-Books
    • คู่มือครู
    • คู่มือการใช้หลักสูตร
    • ชุดสื่อ 60 พรรษา
    • หนังสือเรียน
    • Ebook อื่นๆ
  • Apps
  • เกี่ยวกับ scimath
  • ติดต่อเรา
  • สรุปข้อมูล
  • แผนผังเว็บไซต์
ลงชื่อเข้าสู่ระบบ
ลงชื่อเข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมรหัสผ่าน
  • คำถามที่พบบ่อย
  • learning space
  • ระบบอบรมครู
  • ระบบการสอบออนไลน์
  • ระบบคลังความรู้
  • สสวท.
  • สำนักงานสลากกินแบ่ง
  • วีดิทัศน์
  • คลังภาพ
  • บทความ
  • โครงงาน
  • บทเรียน
  • แผนการสอน
  • E-Books
    • คู่มือครู
    • คู่มือการใช้หลักสูตร
    • ชุดสื่อ 60 พรรษา
    • E-Books อื่นๆ
  • Apps
ลงชื่อเข้าสู่ระบบ
ลงชื่อเข้าสู่ระบบ

  • คำถามที่พบบ่อย
  • สมัครสมาชิก
  • Forgot your password?
ค้นหา
    
ค้นหาบทเรียน
กลุ่มเป้าหมาย
ระดับชั้น
สาขาวิชา/กลุ่มสาระวิชา
การกรองเปลี่ยนแปลง โปรดคลิกที่ส่งเมื่อดำเนินการเสร็จ
เลือกหมวดหมู่
    
  • บทเรียนทั้งหมด
  • ฟิสิกส์
  • เคมี
  • ชีววิทยา
  • คณิตศาสตร์
  • เทคโนโลยี
  • โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ
  • วิทยาศาสตร์ทั่วไป
  • สะเต็มศึกษา
  • อื่น ๆ

สารละลาย

โดย :
อนุสิษฐ์ เกื้อกูล
เมื่อ :
วันพุธ, 23 ธันวาคม 2563
Hits
278842
  • 1. Introduction
  • 2. การเตรียมสารละลาย
  • 3. สมบัติบางประการของสารละลาย  
  • - All pages -

สารละลายและความเข้มข้นของสารละลาย

        สารละลาย

        สารละลาย (Solution) หมายถึง สารเนื้อเดียวที่ไม่บริสุทธิ์ ซึ่งเกิดจากสารตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป รวมตัวเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งสามารถจำแนกแบ่งออกได้เป็น 3 สถานะคือ คือ สารละลายของแข็ง สารละลายของเหลว และสารละลายแก๊ส

        ความเข้มข้นของสารละลาย

        ความเข้มข้นของสารละลายเป็นการบอกถึงอัตราส่วนปริมาณตัวถูกละลายกับปริมาณตัวทำละลายในสารละลายหนึ่ง ๆ อัตราส่วนดังกล่าวจะมีได้ 2 ลักษณะ คือ ปริมาณของตัวถูกละลายในสารละลายทั้งหมดกับปริมาณของตัวถูกละลายในตัวทำละลายทั้งหมด โดยมีหน่วยความเข้มข้น เป็นหน่วยที่ใช้บอกปริมาณของตัวถูกละลายและตัวทำละลายในสารละลาย โดยทั่วๆ ไปหน่วยความเข้มข้นของสารละลายมักจะบอกเป็นปริมาณของตัวถูกละลายในสารละลาย หน่วยต่างๆ ที่นิยมใช้กันในระดับนี้ได้แก่ 

        1.หน่วยร้อยละ  เป็นหน่วยของความเข้มข้นที่แบ่งย่อยออกเป็น 3 ประเภท

                   1.1 ร้อยละโดยมวลต่อมวล (%W/W) หรือเรียกย่อๆ ว่า ร้อยละโดยมวล (% by W) เป็นหน่วยความเข้มข้นที่ใช้ “บอกมวลของตัวถูกละลายในสารละลาย 100 หน่วยมวลเดียวกัน” เช่น สารละลายกรด HNO3 20% โดยมวล หมายความว่า ในสารละลายกรด 100 กรัม มีเนื้อกรด HNO3  20 กรัม หรือในสารละลายกรด  100 กิโลกรัม มีเนื้อกรด มีเนื้อกรด HNO3 20 กิโลกรัม (มวลของตัวถูกละลายและมวลของสารละลาย จะต้องเป็นหน่วยเดียวกัน) สารละลาย NH3  30% โดยมวล หมายความว่า สารละลาย 100กรัมมี NH3 ละลายอยู่ 30 กรัม  เป็นต้น

                   1.2 ร้อยละโดยปริมาตรต่อปริมาตร (%V/V)  หรือเรียกย่อๆ ว่า ร้อยละโดยปริมาตร (% by V)  เป็นหน่วยที่ใช้บอก “ปริมาตรของตัวถูกละลายในสารละลาย 100 หน่วยปริมาตรเดียวกัน” เช่น สารละลายกรด HNO3  50%  โดยปริมาตร หมายความว่า ในสารละลาย 100 cm3 มีเนื้อกรด HNO3  50 cm3  หรือในสารละลายกรด 100 ลิตร มีเนื้อกรด NHO3  50 ลิตร สารละลาย NH3  20% โดยปริมาตร หมายความว่า ในสารละลาย 100 cm3 มี NH3 ละลายอยู่ 20 cm3

                   1.3 ร้อยละโดยมวลต่อปริมาตร(% W/V)  เป็นหน่วยที่ใช้บอก “มวลของตัวถูกละลายในสารละลาย 100 หน่วยปริมาตร” หน่วยของมวลและปริมาตรจะต้องสอดคล้องกัน คือ ถ้ามวลเป็นกรัม ปริมาตรจะเป็นลูกบาศก์เซนติเมตร (cm3) หรือถ้ามวลเป็นกิโลกรัม ปริมาตรจะเป็นลิตร  เช่น สารละลายกรด HNO3 25% W/V หมายความว่า ในสารละลาย 100 cm3 มีเนื้อกรด HNO3 ละลายอยู่ 25 กรัม หรือในสารละลายกรด 100 ลิตร มีเนื้อกรด NHO3 ละลายอยู่ 25 กิโลกรัม สารละลาย NH3  30% โดยมวล/ปริมาตร หมายความว่า สารละลาย 100 cm3 มี NH3 ละลายอยู่ 30 กรัม

11241 1

ภาพสารละลาย
ที่มา https://pixabay.com/th , PublicDomainPictures

          การคำนวณหน่วยร้อยละของสารละลาย

          หน่วยร้อยละของสารละลายสามารถนำมาสรุปเป็นสูตร สำหรับการคำนวณได้ดังนี้

                   % โดยมวล      =  (มวลของตัวละลาย/มวลสารละลาย)x100

                   % โดยปริมาตร  = (ปริมาตรของตัวละลาย/ปริมาตรสารละลาย)x100

                   % โดยมวล/ปริมาตร   = (มวลของตัวละลาย/ปริมาตรสารละลาย)x100

          หมายเหตุ  บางครั้งโจทย์อาจจะไม่กำหนดหน่วยร้อยละ ว่าเป็นประเภทใด โดยทั่วๆ ไปให้เข้าใจดังนี้ 

          กรณีที่ 1 สารละลายของแข็งในของเหลว จะเป็น % โดยมวล/ปริมาตร 

          กรณีที่ 2 สารละลายของของเหลวในของเหลว หรือ ก๊าซจะเป็น % โดยปริมาตร

       2. โมล/ลูกบาศก์เดซิเมตร (mol/dm3) หรือโมลาริตี  เป็นหน่วยความเข้มข้นในระบบเอสไอ สามารถใช้ โมล/ลิตร (mol/l)  แทนได้ หน่วยโมล/ลิตร เดิมเรียกว่า โมลาร์ (molar) ใช้สัญลักษณ์เป็น “M” โมล/ลิตร เป็นหน่วยความเข้มข้นที่แสดง “จำนวนโมลของตัวถูกละลายในสารละลาย 1 ลูกบาศก์เดซิเมตร (1 ลิตร)”  เช่น     สารละลายกรด HNO3  0.5 โมล/ลิตร หมายความว่าในสารละลาย 1 ลิตร มีเนื้อกรด HNO3 ละลายอยู่ 0.5  โมล  สารละลาย NH3  0.1 โมล/ลิตร หมายความว่า ในสารละลาย 1 ลิตร มี NH3 ละลายอยู่ 0.1 โมล

       3. โมล/กิโลกรัม (mol/kg) หรือ โมแลลิตี (molality) เป็นหน่วยความเข้มข้นที่ใช้บอก “จำนวนโมลของตัวถูกละลายที่มีอยู่ในตัวทำละลาย 1 กิโลกรัม หรือ  100 กรัม”  จึงมีหน่วยเป็นโมลต่อกิโลกรัม หรือเรียกว่า โมแลล ใช้สัญลักษณ์เป็น “m” เช่น  สารละลายกรด HNO3 0.5 โมล/กิโลกรัม หมายความว่าในน้ำ  1 กิโลกรัม มีกรด HNO3 ละลายอยู่ 0.5 โมล สารละลาย NH3 0.2 โมล/กิโลกรัม หมายความว่าในน้ำ  1  กิโลกรัม มี NH3 ละลายอยู่ 0.2 โมล

        4. เศษส่วนโมล (mole fraction)  เป็นหน่วยความเข้มข้นของสารละลายอีกชนิดหนึ่งมักจะใช้สัญลักษณ์เป็น ” x ”  เศษส่วนโมล หมายถึง อัตราส่วนระหว่างจำนวนโมลของสารต่อจำนวนโมลของสารทั้งหมด เศษส่วนโมลของตัวทำละลาย จึงหมายถึงอัตราส่วนระหว่างจำนวนโมลของตัวทำละลายต่อจำนวนโมลของสารละลาย เศษส่วนโมลของตัวถูกละลาย จึงหมายถึง อัตราส่วนระหว่างจำนวนโมลของตัวถูกละลายต่อจำนวนโมลของสารละลาย อาจจะเขียนเป็นสูตรแสดงความสัมพันธ์ของเศษส่วนโมลได้ดังนี้

                  เศษส่วนโมล A  =   โมลของสาร A / จำนวนโมลรวม

                  เช่น  สารละลายชนิดหนึ่งประกอบด้วยสาร A n1  โมล  และสาร B   n2  โมล

                             จำนวนโมลรวม  =  n1  +  n2

                             เศษส่วนโมลของ A (x1) =   n1/(n1+n2)

                             เศษส่วนโมลของ B (x2) =  n2/(n1+n2)

                 เศษส่วนโมลของสารแต่ละชนิดจะต้องมีค่าน้อยกว่า 1 เสมอ ไม่ว่าจะเป็นสารละลายที่เกิดจากสารกี่ชนิดรวมกันก็ตาม ผลบวกของเศษส่วนโมลของสารทั้งหมดรวมกันจะต้องเป็น  1  เสมอ

                 ∑ xi   =   x1  +  x2   +  x3  +  …….   =   1

                  เช่น สารละลายกรด HNO3 มีเศษส่วนโมลของกรด HNO3  เท่ากับ 0.2 หมายความว่า ในสารละลาย 1 โมล จะมีกรด HNO3  0.2  โมล และมีน้ำ 0.8  โมล

                   เศษส่วนโมล สามารถเปลี่ยนเป็นร้อยละโดยมวล (% mol) ได้โดยอาศัยความสัมพันธ์ดังนี้

                   ร้อยละโดยมวล  =  เศษส่วนโมล x  100

         5. ส่วนในล้านส่วน (part per million) ใช้สัญลักษณ์ “ppm”  เป็นหน่วยที่ใช้ในกรณีที่สารมีจำนวนน้อยๆ ซึ่งใช้อยู่ในรูป

                    5.1 หน่วยส่วนในล้านส่วนโดยมวลต่อมวล  ซึ่งหมายถึง มวลของตัวถูกละลายที่มีอยู่ในสารละลาย 1 ล้านหน่วยมวลเดียวกัน  เช่น mg/kg  หรือ μ g/kg

                    5.2 หน่วยส่วนในล้านส่วนโดยมวลต่อปริมาตร ซึ่งหมายถึง มวลของตัวถูกละลายที่มีอยู่ใน 1 ล้านหน่วยปริมาตร  เช่น มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เดซิเมตร เช่น   น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีปรอท 1 ppm  อาจหมายความว่า ในน้ำ 1 ล้านมิลลิกรัม (1 กิโลกรัม)  มีปรอทละลายอยู่   1 มิลลิกรัม   หรือ หมายความว่า ในน้ำ 1 ล้านมิลลิลิตร (1 ลิตร)  มีปรอทละลายอยู่   1 มิลลิกรัม

        นอกจากจะบอกความเข้มข้นของสารละลายในหน่วยต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว ในบางครั้งยังมีการบอกหน่วยความเข้มข้นในเชิงเปรียบเทียบ เช่น

  • ถ้าสารละลายมีตัวถูกละลายอยู่น้อย เรียกว่า สารละลายเจือจาง
  • ถ้าสารละลายมีตัวถูกละลายอยู่มาก เรียกว่า สารละลายเข้มข้น

  • ถ้าสารละลายมีตัวถูกละลายอยู่มากจนอิ่มตัว เรียกว่า สารละลายอิ่มตัว  เป็นต้น

แหล่งที่มา

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.). (2551).หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน เคมี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 เล่ม 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551. กรุงเทพฯ : คุรุสภาลาดพร้าว.

นางสาววนิดา สวนดอกไม้. เอกสารประกอบการสอนชุด สารละลาย. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2563.จาก http://www.sysp.ac.th/files/20140001_18072512125446.pdf


Return to contents

การเตรียมสารละลาย

        การเตรียมสารละลาย คือการนำตัวถูกละลายมาเติมตัวทำละลายให้มีความเข้มข้นและปริมาตรตามที่ต้องการ อาจจะเตรียมได้หลายวิธี ดังนี้

          วิธีที่ 1 การเตรียมสารละลายจากสารบริสุทธิ์ 

          เป็นการเตรียมสารละลายจากสารบริสุทธิ์ โดยการนำสารบริสุทธิ์ เช่น ของแข็ง ของเหลว และก๊าซ ละลายในตัวทำละลาย ซึ่งอาจจะทำได้โดยการชั่งสารบริสุทธิ์แล้วนำมาละลายในตัวทำละลาย โดยการคำนวณล่วงหน้าว่าถ้าต้องการเตรียมสารละลายที่มีความเข้มข้นและปริมาตรตามต้องการ จะต้องชั่งสารหนักกี่กรัม  การชั่งสารจะต้องใช้เครื่องชั่งอย่างละเอียด  นำสารที่ชั่งแล้วเทใส่ขวดวัดปริมาตรที่เตรียมไว้ แล้วเติมน้ำลงไปจนถึงขีดบอกปริมาตร  จะได้สารละลายที่มีความเข้มข้นตามต้องการ

          การเตรียมสารละลายแบบนี้ เทคนิคส่วนใหญ่จะอยู่ที่การชั่งน้ำหนักสารและการวัดปริมาตรสารละลาย ดังนั้น สารละลายที่เตรียมได้จะมีความเข้มข้นถูกต้องมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับหลักการดังนี้

  • การเตรียมสารละลายจากของแข็ง ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการชั่งของแข็ง แล้วนำไปละลายในตัวทำละลาย

  • การเตรียมสารละลายจากของเหลว อาจจะใช้วิธีการชั่งน้ำหนัก หรือใช้วัดปริมาตรของของเหลว ซึ่งจะต้องคำนวณออกมาเป็นน้ำหนัก โดยใช้ความหนาแน่นเข้าช่วย

  • การเตรียมสารละลายจากก๊าซ ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการวัดปริมาตร เมื่อละลายในน้ำ หรือในตัวทำละลาย จะได้สารละลายตามต้องการ

  • การคำนวณเกี่ยวกับการเตรียมสารละลายอาศัยหลักการที่ว่า “เมื่อนำสารบริสุทธิ์ (ของแข็ง ของเหลว หรือก๊าซ) มาละลายในน้ำ มวลของสารในขณะที่เป็นสารบริสุทธิ์ ย่อมเท่ากับมวลของสารในขณะที่อยู่ในสารละลาย”

         ในแง่ของโมล “จำนวนโมลของสารที่เป็นสารบริสุทธิ์ ย่อมเท่ากับจำนวนโมลของสารที่เป็นสารละลาย”

                   โมลสารบริสุทธิ์    =  โมลของสารละลาย

                   W/M     =    VC/1000

                    w  =  มวลของสารบริสุทธิ์ (ตัวถูกละลาย)  เป็นกรัม

                    M  =  มวลโมเลกุลของตัวถูกละลาย

                    V  =  ปริมาตรของสารละลายเป็น  cm3

                    C  =  ความเข้มข้นของสารละลายเป็น  mol/dm3

          สูตรนี้สามารถใช้คำนวณเกี่ยวกับการเตรียมสารละลายได้โดยตรง พิจารณาจากสูตรพบว่ามีตัวแปร  3  ตัว คือ w,  V  และ  C  ซึ่งการคำนวณโดยทั่วๆ ไปโจทย์จะกำหนดตัวแปรให้  2  ตัว แล้วถามตัวที่ 3 เช่น กำหนด w, V  และถาม  C  หรือกำหนด w, V  ถาม C  เป็นต้น 

           การกำหนดมวล (w)  ของสารบางครั้งอาจจะกำหนดให้ทางอ้อม เช่น กำหนดผ่านปฏิกิริยาเคมี  กำหนดผ่านความหนาแน่นและปริมาตร (ในกรณีของเหลว)

            w    =  ปริมาตร  x  ความหนาแน่น

        ตัวอย่างที่ 1 ถ้าต้องการสารละลายโพแทสเซียมไอโอไดด์ (KI)  เข้มข้น 0.2 โมล/ลิตร จำนวน  200 cm3  จะต้องใช้  KI  กี่กรัม

        วิธีทำ  จากสูตร         

          โมลสารบริสุทธิ์    =  โมลของสารละลาย

           W/M     =    VC/1000

                   w  =  มวลของ  KI  กรัม

                   M  =  มวลโมเลกุลของ  KI  =  166

                   V  =  ปริมาตรของสารละลาย=  200  cm3

                   C  =  ความเข้มข้นของสารละลายเป็น 0.2 mol/dm3

                     w/166  =  (200x0.2)/1000

                     w    =   6.64  กรัม

          จะต้องใช้  KI  6.64  กรัม

          วิธีที่ 2 การเตรียมสารละลายโดยการทำให้เจือจาง

          ทำได้โดยนำสารละลายที่ทราบความเข้มข้นที่แน่นอนแล้วมาเติมน้ำให้เจือจางลงให้ได้ความเข้มข้นใหม่ ปกติต้องคำนวณปริมาตรของสารละลายเข้มข้นล่วงหน้าเช่นเดียวกับกรณีชั่งน้ำหนัก หลังจากคำนวณหาปริมาตรที่ต้องการแล้ว จึงใช้ปิเปตดูดสารละลายขึ้นมา นำไปถ่ายลงในขวดวัดปริมาตรที่เตรียมไว้ แล้วเติมน้ำจนถึงขีดบอกปริมาตร จะได้สารละลายที่มีความเข้มข้นใหม่ตามต้องการ

          จะเห็นได้ว่าการเตรียมสารละลายโดยการทำให้เจือจางนั้น เทคนิคต่างๆ จะอยู่ที่การใช้ปิเปตดูดสารละลายเข้มข้นขึ้นมาและการวัดปริมาตรในขวดวัดปริมาตร ดังนั้นสารละลายที่ได้จะมีความเข้มข้นถูกต้องเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับขั้นตอนดังกล่าว

          การคำนวณเกี่ยวกับการเจือจางอาศัยหลักการที่ว่า “เมื่อเติมน้ำลงไปในสารละลาย จะทำให้ปริมาตรและความเข้มข้นของสารละลายเปลี่ยนแปลงไป แต่จำนวนโมลของสาร (ตัวถูกละลาย)จะเท่าเดิม”

                             จำนวนโมลก่อนเติมน้ำ  =  จำนวนโมลหลังเติมน้ำ

                                                V1C1   =  V2C2

                             และ                     V α  1/C

          หมายความว่า ถ้าปริมาตรของสารละลายเพิ่มขึ้น (V) ความเข้มข้น (C) ของสารละลายจะลดลง “ยิ่งมีปริมาตรเพิ่มขึ้นเท่าใด ความเข้มข้นก็จะยิ่งลดลงเท่านั้น”  เช่น ถ้าเติมน้ำลงไปจนปริมาตรของสารละลายเป็น 10 เท่าของตอนแรก ความเข้มข้นจะลดลงเหลือ  1/10 เท่าของตอนแรก

          ในทางกลับกัน ถ้าต้องการให้สารละลายมีความเข้มข้นเพิ่มมากขึ้น ก็อาจจะทำได้โดยการนำสารละลายไปเคี่ยวให้น้ำระเหยไปบางส่วน ซึ่งการคำนวณก็ใช้หลักการในทำนองเดียวกัน คือ จำนวนโมลของสารก่อนนำไปเคี่ยวและจำนวนโมลของสารหลังจากนำไปเคี่ยวแล้วจะต้องเท่ากัน

          พิจารณาตัวอย่างเกี่ยวกับการเจือจางสารละลายต่อไปนี้

ตัวอย่างที่ 2 ถ้านำสารละลาย HCl  1.0 โมล/ลิตร มา 20 cm3  แล้วเติมนำจนมีปริมาตรเป็น 300 cm3  จะได้สารละลายเข้มข้นกี่โมล/ลิตร

วิธีทำ

                   โมลก่อนเจือจาง  =  โมลหลังเจือจาง

                          V1C1        =         V2C2

                                    V1  =  20  cm3

                                    V2  =  300  cm3

                                    C1  =  1.0  โมล/ลิตร

                                    C2  =   ?   โมล/ลิตร

                   แทนค่าจะได้

                             20 x 1.0   =  300 x C2

                             C2           =   0.067   โมล/ลิตร

                   จะได้สารละลายเข้มข้น  0.067  โมล/ลิตร

          วิธีที่ 3 การเตรียมสารละลายโดยการผสมสารละลายเข้าด้วยกัน

          ใช้หลักการที่ว่า  เมื่อนำสารละลายชนิดเดียวกันที่มีความเข้มข้นต่างๆ กัน มาผสมกัน  “จำนวนโมลของตัวถูกละลายก่อนผสมกัน ย่อมเท่ากับจำนวนโมลของตัวถูกละลายหลังผสมกัน”

  • จำนวนโมลของตัวถูกละลายแต่ละความเข้มข้นคิดได้จาก   n  =  VC/1000

  • จำนวนโมลของตัวถูกละลายก่อนผสมคิดจาก V และ C  ของแต่ละความเข้มข้น

  • จำนวนโมลของตัวถูกละลายภายหลังผสมคิดจาก V รวม และ C รวม

          เช่น ผสมสารละลายกรดที่มีปริมาตรและความเข้มข้นต่างๆ กันดังนี้

                   โมลก่อนผสม    =  โมลหลังผสม

                           n1  +   n2 =     n

                  V1C1  +  V2C2 =    VC

          เมื่อ   V  =  ปริมาตรรวม  =  V1  +  V2  + ….

          หน่วย  V,  V1  ,  V2  , …  เป็นหน่วยปริมาตรอย่างไรก็ได้แต่ต้องเป็นหน่วยเดียวกัน

ตัวอย่างที่ 3  เมื่อผสมสารละลาย NaCl  เข้มข้น  0.1 ,  0.2,  และ  0.5  mol/dm3  จำนวน  100 ,  200  และ  300  cm3 ตามลำดับ จะได้สารละลายรวมที่มีความเข้มข้นเป็นกี่ mol/dm3

วิธีทำ

                       V1 = 100 V2 = 200   V3 = 300          V = V1 + V2 + V3

                       C1 = 0.1  C2 = 0.2    C3 = 0.5           V =  600

                                                  โมลก่อนผสม   =  โมลหลังผสม

                                                n1  +  n2  +  n3 =      n

                                 V1C1  +  V2C2  +  V2C3  =    VC

           (100 x 0.1) + (200 x 0.2) + (300 x 0.5) = 600 x C

                                                              C       =   0.33  mol/dm3

                       ได้สารละลายเข้มข้น  0.33   mol/dm3

แหล่งที่มา

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.). (2551).หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน เคมี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 เล่ม 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551. กรุงเทพฯ : คุรุสภาลาดพร้าว.


Return to contents

 สมบัติบางประการของสารละลาย

          สมบัติคอลลิเกตีฟ หมายถึง สมบัติทางกายภาพของสารละลายที่ขึ้นอยู่กับจำนวนอนุภาคของตัวถูกละลาย โดยไม่ขึ้นอยู่กับชนิดของตัวถูกละลาย หมายความว่า ถ้าสารละลายนั้นมีความเข้มข้นของตัวถูกละลายเท่ากัน จะต้องมีสมบัติคอลลิเกตีฟเท่ากัน สมบัติคอลลิเกตีฟได้แก่ ความดันที่ลดลง จุดเดือดที่เพิ่มขึ้น  จุดเยือกแข็งที่ลดลง และความดันออสโมซิส (osmotic pessure)สมบัติคอลลิเกตีฟ จะใช้ได้ดีกับตัวถูกละลายที่ระเหยยาก และไม่แตกตัวเป็นไอออน สารละลายที่มีตัวทำละลายชนิดเดียวกัน ถ้ามีความเข้มข้นของตัวถูกละลาย (ชนิดระเหยยากและไม่แตกตัวเป็นไออน) เป็น mol/kg  เท่ากัน จะมีจุดเดือดและจุดหลอมเหลว ซึ่งเป็นสมบัติคอลลิเกตีฟเท่ากัน ตัวอย่างเช่น เมื่อละลายกลูโคส 1 โมล ในน้ำ  1000 กรัม จะทำให้สารละลายมีจุดเดือดเพิ่มขึ้น 0.51 0C (เดือดที่ 100.51 0C)  และจุดเยือกแข็งลดลง 1.86 0C (จุดเยือกแข็งเท่ากับ -1.86 0C ) ในทำนองเดียวกัน เมื่อนำซูโครส  1  โมล ในน้ำ  1000  กรัม จะได้สารละลายมีจุดเดือดเพิ่มขึ้น 0.51 0C (เดือดที่ 100.51 0C)  และจุดเยือกแข็งลดลง 1.86 0C (จุดเยือกแข็งเท่ากับ -1.86 0C ) เช่นเดียวกับกลูโคส ทั้งนี้เพราะสมบัติคอลลิเกตีฟของสารละลายขึ้นอยู่กับธรรมชาติของตัวทำละลาย แต่ไม่ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของตัวถูกละลาย  ขึ้นอยู่กับปริมาณของตัวถูกละลาย แต่ไม่ขึ้นกับชนิดของตัวถูกละลาย

         อย่างไรก็ตาม ถ้าใช้สารละลายที่มีความเข้มข้นต่างกัน แม้ว่าจะมีตัวทำละลายชนิดเดียวกัน จุดเดือดและจุดหลอมเหลวจะไม่เท่ากัน เช่น ถ้าเพิ่มความเข้มข้นของกลูโคสเป็น  2 โมล ในน้ำ  1000 กรัม จะได้สารละลายที่มีจุดเยือกแข็งเป็น -3.72 0C และมีจุดเดือดเป็น 100.02 0C  เป็นต้น ถ้าใช้ความเข้มข้นของตัวถูกละลายเท่ากัน แต่ใช้ตัวทำละลายต่างกันก็จะได้จุดเดือดและจุดเยือกแข็งไม่เท่ากัน กล่าวโดยสรุป คือ “จุดเดือดและจุดเยือกแข็งของสารละลายที่มีตัวทำละลายชนิดเดียวกันจะไม่ขึ้นอยู่กับชนิดของตัวถูละลาย แต่จะขึ้นอยู่กับปริมาณ (จำนวนโมล) ของตัวถูกละลาย” ตัวอย่างเช่น เบนซีน มีจุดเดือด 80.10 0C มีจุดเยือกแข็ง 5.50 0C ถ้านำตัวถูกละลายใดๆ เช่น โทลูอีน, แนพธาลีน, ฯลฯ  จำนวน  1  โมล ใส่ในเบนซีน 1  กิโลกรัม ทำให้ได้สารละลายเข้มข้น  1  โมลต่อกิโลกรัม (หรือ 1 โมแลล) จะทำให้สารละลายมีจุดเดือดเป็น 82.63 0C (จุดเดือดเพิ่มขึ้น 2.53 0C เท่ากัน) และมีจุดเยือกแข็ง 0.60 0C (จุดเยือกแข็งลดลง 4.90 0C เท่ากัน) หรือสารละลายที่มีกรดอะซิติกเป็นตัวทำละลายและมีความเข้มข้น 1 โมล/กิโลกรัม จะมีจุดเดือด 120.97 0C  (เพิ่มขึ้น 3.07 0C) และจุดเยือกแข็ง 12.7 0C (ลดลง 3.90 0C) เสมอ ไม่ว่าตัวถูกละลายจะเป็นสารใด

ค่าคงที่ของการเพิ่มของจุดเดือด (molal boiling point elevation constant)

         ค่าคงที่ของการเพิ่มของจุดเดือด ใช้สัญลักษณ์เป็น Kb เนื่องจากจุดเดือดของสารละลายที่เข้มข้นเท่ากันจะเพิ่มขึ้นเท่ากันและเป็นค่าคงที่สำหรับตัวทำละลายชนิดหนึ่งๆ จึงได้มีการกำหนดค่าคงที่ขึ้นมาเรียกว่า ค่าคงที่ของการเพิ่มของจุดเดือด ซึ่งหมายถึง “ผลต่างระหว่างจุดเดือดของสาระละลายที่มีความเข้มข้น 1 โมล/กิโลกรัม กับจุดเดือดของตัวทำละลายบริสุทธิ์” หรือหมายถึง “จุดเดือดที่เพิ่มขึ้นของสารละลายเข้มข้น 1 โมล/กิโลกรัม”

          Kb  =  จุดเดือด(ของสารละลาย 1 mol/kg) - จุดเดือด (ตัวทำละลาย)

ค่าคงที่ของการลดของจุดเยือกแข็ง (molal freezing point depression constant)

         ใช้สัญลักษณ์ Kf ซึ่งมีความหมายในทำนองเดียวกับ Kb ของจุดเดือด คือ หมายถึง “ผลต่างระหว่างจุดเยือกแข็งของตัวทำละลายบริสุทธิ์กับจุดเยือกแข็งของสารละลายที่มีความเข้มข้น 1 โมล/กิโลกรัม” ซึ่งมีค่าคงที่ หรือ หมายถึง “จุดเยือกแข็งที่ลดลงของสารละลายที่มีตัวถูกละลายเข้มข้น 1 โมล/กิโลกรัม”

          Kf  =  จุดเยือกแข็ง(ตัวทำละลาย) - จุดเยือกแข็ง (สารละลาย 1 mol/kg)

         ค่า  Kb  และ Kf  เป็นค่าคงที่เฉพาะตัวของตัวทำละลายชนิดหนึ่งๆ ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของตัวทำละลายเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับตัวถูกละลาย

ตารางที่ 1  จุดเดือด,   Kb ,  จุดเยือกแข็งและ  Kf  ของตัวทำละลายบางชนิด

11241 5

         ก. การคำนวณเกี่ยวกับจุดเยือกแข็งที่ลดลง

         พิจารณาจุดเยือกแข็งที่ลดลง (ΔTf) ของสารละลายยูเรียในน้ำดังต่อไปนี้

ตารางที่ 2 ความสัมพันธ์ระหว่างจุดเยือกแข็งที่ลดลงกับความเข้มข้นของสารละลายยูเรีย

ความเข้มข้น (mol/kg)

ΔTf (0C)

ความเข้มข้น (mol/kg)

ΔTf (0C)

0.004235

0.007645

0.012918

0.007846

0.01413

0.02393

0.01887

0.03084

0.04248

0.03496

0.05696

0.07850

          จะเห็นได้ว่า   เมื่อความเข้มข้นของสารละลายเพิ่มขึ้น จุดเยือกแข็งของสารละลายจะลดลงมากขึ้น จึงนำมาสรุปได้ว่า

         “จุดเยือกแข็งที่ลดลงของสารละลายจะแปรผันโดยตรงกับปริมาณ (ความเข้มข้น) ของตัวถูกละลาย”

         ถ้า   ΔTf     =  จุดเยือกแข็งของสารละลายที่ลดลง

                          =  จุดเยือกแข็งของตัวทำละลาย  -  จุดเยือกแข็งของสารละลาย

                 m      =  ความเข้มข้นของสารละลายเป็น  mol/kg หรือ molal

         จะได้           ΔTf        m

         หรือ

                                          ΔTf    =    Kfm

         ซึ่ง     Kf   =  ค่าคงที่ของการลดของจุดเยือกแข็ง

แหล่งที่มา

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.). (2551).หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน เคมี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 เล่ม 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551. กรุงเทพฯ : คุรุสภาลาดพร้าว.


Return to contents
Previous Page 1 / 3 Next Page
หัวเรื่อง และคำสำคัญ
ความเข้มข้นของสารละลาย,สารละลาย,ปริมาณของตัวถูกละลาย,การเตรียมสารละลาย ,การเจือจางสารละลาย ,การผสมสารละลาย,จุดเดือดของสารละลาย ,จุดเยือกแข็งของสารละลาย
ประเภท
Text
รูปแบบการนำเสนอ แบ่งตามผลผลิต สสวท.
สื่อสิ่งพิมพ์ในรูปแบบดิจิทัล
ลิขสิทธิ์
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)
วันที่เสร็จ
วันอังคาร, 10 ธันวาคม 2562
ผู้แต่ง หรือ เจ้าของผลงาน
นายอนุสิษฐ์ เกื้อกูล
สาขาวิชา/กลุ่มสาระวิชา
เคมี
ระดับชั้น
ม.1
ม.2
ม.3
ม.4
ม.5
ม.6
ช่วงชั้น
มัธยมศึกษาตอนต้น
มัธยมศึกษาตอนปลาย
กลุ่มเป้าหมาย
ครู
นักเรียน
บุคคลทั่วไป
  • 11241 สารละลาย /lesson-chemistry/item/11241-2019-12-19-07-24-03
    เพิ่มในรายการโปรด
  • ให้คะแนน
    Average rating
    • 1
    • 2
    • 3
    • 4
    • 5
    • Share
    • Tweet
    • Share

ค้นหาบทเรียน
กลุ่มเป้าหมาย
ระดับชั้น
สาขาวิชา/กลุ่มสาระวิชา
การกรองเปลี่ยนแปลง โปรดคลิกที่ส่งเมื่อดำเนินการเสร็จ
  • บทเรียนทั้งหมด
  • ฟิสิกส์
  • เคมี
  • ชีววิทยา
  • คณิตศาสตร์
  • เทคโนโลยี
  • โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ
  • วิทยาศาสตร์ทั่วไป
  • สะเต็มศึกษา
  • อื่น ๆ
  • เกี่ยวกับ SciMath
  • ติดต่อเรา
  • สรุปข้อมูล
  • แผนผังเว็บไซต์
  • คำถามที่พบบ่อย
Scimath คลังความรู้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) กระทรวงศึกษาธิการ เป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่แสวงหากำไร ได้จัดทำเว็บไซต์คลังความรู้ SciMath เพื่อส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีทุกระดับการศึกษา โดยเน้นการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นหลัก หากท่านพบว่ามีข้อมูลหรือเนื้อหาใด ๆ ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ โปรดแจ้งให้ทราบเพื่อดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุด

The Institute for the Promotion of Teaching Science and Technology (IPST), Ministry of Education, a non-profit organization under the Thai government, developed SciMath as a website that provides educational resources in Science, Mathematics and Technology. IPST invites visitors to use its online resources for personal, educational and other non-commercial purpose. If there are any problems, please contact us immediately.

Copyright © 2018 SCIMATH :: คลังความรู้ SciMath. Terms and Conditions. Privacy. , All Rights Reserved. 
อีเมล: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. (ให้บริการในวันและเวลาราชการเท่านั้น)