Exotic Pets และ Alien Species: การสอนปัญหาสิ่งแวดล้อม ในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์
Exotic Pets และ Alien Species: การสอนปัญหาสิ่งแวดล้อม ในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ข่าวปัญหา “อิกัวนาเขียว เอเลียนสปีชีส์ บุกลพบุรี” ทำให้เกิดความกังวลเรื่องโรคติดต่อที่อาจจะปนเปื้อนมากับพืชอาหารที่ปลูกไว้ในท้องถิ่นที่อิกัวนาเข้าไปกินหรือเข้าไปอาศัยอยู่แล้วถ่ายมูลทิ้งไว้ อิกัวนาเขียว (Green Iguana, ชื่อวิทยาศาสตร์ Lguana iguana) เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์ (Omnivore) และเนื่องจากเป็นสัตว์ที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกา โดยพบอาศัยในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ปกติแล้วอิกัวนาจะถูกล่าโดยสัตว์ในท้องถิ่น เช่น เหยี่ยว นกขนาดใหญ่ หมาป่า งู แมวป่า แรคคูน หมูป่า มนุษย์ (ที่กินทั้งเนื้อและ ไข่ของอิกัวนา หรือใช้อิกัวนาเป็นเหยื่อล่อจระเข้ และจับมาเพื่อค้าเป็นสัตว์เลี้ยง) พอถูกนำมาปล่อยในธรรมชาติ ในประเทศต่างๆ ที่ไม่ใช่ถิ่นกำเนิดเดิมก็จะทำให้อิกัวนาเขียวไม่มีศัตรูหรือสัตว์ผู้ล่า (Predator) ตามธรรมชาติ ที่จะมาควบคุมปริมาณของอิกัวนาเขียวไม่ให้เพิ่มปริมาณมากเกิน จนทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ตามมามากมาย
อิกัวนาเขียว ได้ถูกนำเข้ามาในประเทศไทยมานานกว่า 30 ปีแล้ว โดยถูกนำเข้ามาขายเป็นสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษ แปลก สวยงาม จัดเป็น Exotic Pet โดยจะมีราคาขายในช่วงแรกๆ ที่มีการนำเข้ามาในประเทศ ราคาตัวละ 1,000 – 10,000 บาท ขึ้นกับลักษณะของสี ลวดลายบนตัว และขนาดหรืออายุของอิกัวนาเขียว สำหรับ Exotic Pet อาจจะเป็นสัตว์ที่อยู่ในประเทศหรือนำเข้ามาจากต่างประเทศก็ได้ เช่น ชูการ์ไกลเดอร์ เฟอเรท ชินชิลลา เฟนเน็กฟ็อกซ์ แรคคูน สกั๊งค์ กิ้งก่า Beard Dragon กิ้งก่าเวลล์คาเมเลียน ด้วงแปลกๆ แฮมสเตอร์ นกแก้ว มาคอว์ ดอร์เม้าส์ หรือกระรอกจิ๋ว เต่าบกยักษ์ซูลคาตา และอื่นๆ

ภาพ 1 ตัวอย่าง Exotic Pet ที่มีขายในประเทศไทย
ภาพแถวบนจากซ้ายไปขวา 1) ดอร์เม้าส์หรือกระรอกจิ๋ว 2) ซูการ์ไกรเดอร์ 3) กิ้งก่าเวลล์คาเมเลียน
ภาพแถวล่างจากซ้ายไปขวา 4) แพนเทอร์คาเมเลียน 5) ซินซิลล่า 6) เต่าบกยักษ์ซูลคาตา
ที่มา: ภาพสต็อก รูปภาพ และภาพถ่ายปลอดค่าลิขสิทธิ์ - iStock (istockphoto.com)
จาก Exotic Pets กลายเป็น Alien Species
จากความรักความเมตตาที่มีให้กับสัตว์เลี้ยงแปลก หรือ Exotic Pets เมื่อสัตว์เหล่านี้เติบโตขึ้น จะด้วยเหตุผลของความน่ารักลดลง ขนาดตัว ที่ใหญ่มากขึ้น เหตุผลทางเศรษฐกิจ ทั้งในเรื่องของค่าอาหาร ค่าวัสดุต่างๆ ที่ต้องใช้ในการดูแลสัตว์เลี้ยงเหล่านั้น ค่ายารักษาโรคที่สูงมากเมื่อนำสัตว์เหล่านี้ไปคลินิกรักษาสัตว์ และอื่นๆ จึงทำให้มันถูกปล่อยทิ้งในธรรมชาติ กลายเป็นเอเลียนสปีชีส์ (Alien Species) สิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน (Invasive Alien Species) สิ่งมีชีวิตในท้องถิ่นในรูปแบบต่างๆ เช่น ทำลาย หรือสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศ แย่งอาหารและที่อยู่อาศัยกับสิ่งมีชีวิตในท้องถิ่น จับสิ่งมีชีวิตในท้องถิ่น ตัวอ่อน หรือไข่กินเป็นอาหาร จนส่งผลทำให้จำนวนประชากรของสิ่งมีชีวิตในท้องถิ่นลดจำนวนลง
สำหรับความหมายจริงๆ ของเอเลียนสปีชีส์นั้น จะมีความหมายรวมทั้งสัตว์ พืช ฟังไจ (Fungi) จุลินทรีย์ (Microorganism หรือสิ่งมีชีวิต ขนาดเล็ก) ที่หลุดเข้ามาอาศัยในถิ่นที่อยู่อาศัยใหม่ที่ไม่ใช่ถิ่นที่อยู่อาศัยดั้งเดิมที่เคยอยู่ตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญมากที่ผลักดันให้ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง และนำไปสู่การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในแหล่งที่อยู่อาศัยนั้นๆ ในเวลาต่อมา โดยพบว่าเอเลียนสปีชีส์เมื่อเข้าไป อยู่ในแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่ อาจจะกลายเป็นผู้ล่า (Predator) เข้าไปเป็นคู่แข่ง (Competitor) ในการหาอาหารหรือแย่งที่อยู่อาศัย เข้าไปเป็นปรสิต (Parasite) ที่ทำให้สัตว์หรือพืชในท้องถิ่นเกิดโรคและตาย และสุดท้ายก็จะ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และความมั่นคงในด้านอาหารของมนุษย์ในที่สุด (สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จาก Invasive Alien Species | IUCN) สำหรับบทความนี้จะพูดถึงเฉพาะเอเลียนสปีชีส์ที่อยู่ในกลุ่มสัตว์เลี้ยงแปลกเท่านั้น
หลังจากเกิดปัญหาอิกัวนาที่เป็นเอเลียนสปีชีส์ และมีการนำเสนอผ่านข่าว ทำให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ประกาศห้ามนำเข้าอิกัวนาทุกชนิดเข้ามาในประเทศไทยโดยเด็ดขาด แต่ Exotic Pets ชนิดอื่น ยังคงมีขายอยู่ในตลาดขายสัตว์เลี้ยงแปลก และในตลาดค้าสัตว์เลี้ยงก็จะยังคงมีผู้ค้าตามหาสัตว์แปลกต่างถิ่นมาเปิดตลาดสินค้า Exotic Pets ชนิดใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ปัญหาในลักษณะนี้จะเกิดขึ้นซ้ำหรือไม่ รัฐบาล จะมีวิธีการแก้ปัญหาอย่างไร คงไม่มีใครสามารถให้คำตอบที่แน่ชัดได้
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการปัญหา Alien Species
องค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก หรือ UNESCO) ได้รายงานเกี่ยวกับปัญหาและ กระแสของความนิยมเกี่ยวกับการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ในปี ค.ศ. 2018 ซึ่งในรายงานนี้จะมีการพูดถึงจุดประสงค์ของการจัดการศึกษา เรื่องของสิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน ที่จะนำไปสู่การป้องกันรักษา ความหลากหลายทางชีวภาพให้คงอยู่ควบคู่ไปกับการป้องกันการสูญเสีย แหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตในท้องถิ่น ที่เป็นผลมาจากสิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์ ต่างถิ่นที่รุกราน การป้องกันการทำลายป่าไม้ การกระจายตัวของแหล่งที่อยู่ เป็นพื้นที่เล็กๆ ที่เป็นผลมาจากการที่ป่าไม้ถูกทำลาย และการใช้ทรัพยากร ที่มากเกินพอดี
การแก้ปัญหาเอเลียนสปีชีส์จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจาก บุคคลและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมากมาย ตั้งแต่การกำหนดนโยบาย ที่ชัดเจนจากรัฐบาล การออกกฎ ระเบียบ และแนวทางในการปฏิบัติที่ ชัดเจน เพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐ นักวิชาการ และประชาชนเข้าใจ และปฏิบัติ ไปในทางเดียวกันได้อย่างยั่งยืน
ในหนังสือเรียนชีววิทยา เล่ม 6 ได้ให้ความหมายของชนิดพันธุ์ต่างถิ่น หรือเอเลียนสปีชีส์ ว่าคือสิ่งมีชีวิตที่เข้ามาอยู่ในแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่ นอกเขตการกระจายพันธุ์ดั้งเดิมตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตนั้น โดยอาจจะ เกิดตามธรรมชาติ หรือนำเข้ามาโดยมนุษย์ ทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ได้ และได้มีการจัดแบ่งเอเลียนสปีชีส์ที่ควรถูกควบคุมและกำจัดออกเป็น 4 กลุ่ม คือ
1 .ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานแล้วในประเทศไทย เช่น หอยทากยักษ์ แอฟริกา และต้นไมยราบยักษ์
2. ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีแนวโน้มรุกราน เช่น กบบูลฟร็อก และ ต้นพวงชมพู
3. ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีประวัติว่ารุกรานแล้วในประเทศอื่น แต่ยัง ไม่รุกรานในประเทศไทย เช่น มดหัวโต และต้นศรนารายณ์
4. ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานที่ยังไม่เข้ามาในประเทศไทย และมี รายงานว่าได้รุกรานแล้วในประเทศอื่น เช่น ตัวต่อในยุโรป และคางคกยักษ์
สำหรับการจัดการปัญหาสิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานในชุมชนให้ประสบความสำเร็จแบบยั่งยืน มีความจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลากหลายกลุ่ม ดังนั้น การที่หน่วยงาน ทางการศึกษาไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน วิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัย และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากผลกระทบของสิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานในชุมชน เข้ามามีส่วนร่วมในการศึกษาสำรวจ และวางแผนการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น จากสิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานในชุมชนร่วมกัน ก็จะทำให้สามารถวางแผน ออกแบบวิธีการเก็บข้อมูล การควบคุมการแพร่กระจายส่งเสริม การเรียนรู้และสร้างความเข้าใจถึงปัญหา รับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียจากปัญหานี้ อภิปรายและวิเคราะห์สาเหตุและปัญหา เพื่อใช้ในการ ออกแบบกฎและนโยบายของประเทศเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ รุกรานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ภาพ 2 ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการปัญหาเอเลียนสปีชีส์ในภาพรวม
กิจกรรมการสำรวจ Alien Species ในชุมชน กิจกรรมการสำรวจในชุมชน
หรือการจัด Field Trip เพื่อสำรวจหาสิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานจะทำให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะต่างๆ มากมาย เช่น 1) ทักษะการค้นหาข้อมูลจากสื่อต่างๆ ที่ผู้เรียนจะต้องทำให้แล้วเสร็จก่อนการออกสำรวจ 2) ทักษะการวางแผน และออกแบบวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ผู้เรียนจะต้องคิดและวางแผนว่าจะเก็บข้อมูลอะไรบ้าง ในรูปแบบตัวเลข ภาพ หรือการบรรยายลักษณะตำแหน่งพิกัดที่พบเอเลียนสปีชีส์ที่ได้จาก GPS ที่มักจะมีอยู่ในโทรศัพท์มือถือ และจะนำข้อมูลเหล่านั้น มาใช้ทำอะไรได้บ้าง สำหรับการวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลที่เก็บกลับมา เช่น ตาราง กราฟ หรือแผนที่ เพื่อระบุตำแหน่งและการแพร่กระจายของ เอเลียนสปีชีส์ในท้องถิ่น 3) ทักษะการสังเกต และการเก็บข้อมูล เมื่ออยู่ในพื้นที่สำรวจในชุมชน 4) ทักษะการคิดวิเคราะห์ และการแก้ปัญหา ที่สามารถพบเจอได้เมื่อออกเก็บข้อมูลในชุมชน ทักษะการสื่อสาร และ การทำงานเป็นทีม 5) สำหรับทักษะการสื่อสารนอกจากจะหมายถึงการสื่อสาร ระหว่างสมาชิกภายในกลุ่มแล้ว ยังจะมีความหมายรวมไปถึงทักษะการสื่อสารกับบุคคลต่างๆ ที่พบเจอในชุมชนด้วย โดยนักเรียนจะได้ฝึกในเรื่องของ การสื่อสารเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล
ตัวอย่างผลของการสำรวจสิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน ที่นำไปสู่การ สร้างความตระหนักให้กับชุมชน
ในประเทศโปรตุเกส เมื่อนักเรียนได้เรียนรู้ในห้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาของสิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน และหลังจากนั้นก็ได้ออกสำรวจสิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานในชุมชน ทำให้พวกเขาได้ค้นพบ จอกหูหนูยักษ์ (Giant Salvinia, ชื่อวิทยาศาสตร์ Salvinia molesta) จนนำไปสู่การพูดคุยเพื่อหาทางแก้ปัญหาร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ และการทำให้คนในชุมชนได้ตระหนักถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และเริ่มต้นร่วมมือกันแก้ปัญหาอย่างจริงจัง เพื่อลดพื้นที่ของการแพร่กระจาย และป้องกันการแพร่กระจายของจอกหูหนูยักษ์ไม่ให้มีพื้นที่ของการแพร่กระจาย เพิ่มขึ้นไปจากเดิม

ภาพ 3 ตัวอย่างภาพแผนที่แสดงการแพร่กระจายของคางคกชนิดต่างๆ ในทวีป อเมริกาใต้ ที่สัมพันธ์กับปริมาณน้ำฝน
ซึ่งนักเรียนสามารถนำรูปแบบการแสดงผล การสำรวจนี้มาใช้ในการดัดแปลงเพื่อแสดงผลการสำรวจการแพร่กระจายของ
สิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานในชุมชนได้ (ภาพจาก Simon et al., 2016)
สาธารณรัฐฟินแลนด์ได้ทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า การศึกษา เรื่องสิ่งแวดล้อมไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัยเท่านั้น โดยได้จัดงานนิทรรศการ “The Alien Species Exhibition” ขึ้นที่ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ฟินแลนด์ (Finnish Museum of Natural History) ในปี ค.ศ. 1999 เพื่อสร้างความตระหนักและการรับรู้เกี่ยวกับปัญหา ของสิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้น เช่น เพียงพอน อเมริกา (American Mink, ชื่อวิทยาศาสตร์ Neovison vison), ปลาเทราท์บรูค (Brook Trout, ชื่อวิทยาศาสตร์ Salvelinus fontinalis) และพืชที่เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานอีกหลายชนิดที่สร้างปัญหาให้กับเมืองเฮลซิงกิ ฟินแลนด์ นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ฟินแลนด์ ยังได้ออกแบบชุดการเรียนการสอนสำหรับนักเรียนในระดับชั้นต่างๆ ออกมาใช้กับนักเรียนที่มาเยี่ยมชมงานนิทรรศการด้วย พร้อมๆ กับการจัด สัมมนาในระดับนโยบายสำหรับนักวิชาการด้านต่างๆ เพื่อการพัฒนาและ การบริหารจัดการนโยบายที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน
บทสรุป สำหรับการบริหารจัดการในภาพรวมของประเทศ หากมีนโยบายที่ไม่ชัดเจน และการปฏิบัติตามนโยบายที่ไม่เคร่งครัด จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาการเพิ่มจำนวน และการแพร่กระจายของเอเลียนสปีชีส์ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ ประกอบกับการขาดความรู้และความตระหนักของ ผู้ค้า ผู้นำเข้าสัตว์และพืชต่างถิ่น และเจ้าหน้าที่รัฐ ผลกระทบของสิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญที่ภาครัฐควรเร่งแก้ไข เพื่อป้องกันผลกระทบในด้านต่างๆ ที่จะเกิดตามมาอีกมากมาย
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของนิตยสาร สสวท. ปีที่ 51 ฉบับที่ 245 พฤศจิกายน – ธันวาคม 2566
ผู้อ่านสามารถติดตามบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ https://emagazine.ipst.ac.th/245/20/
บรรณานุกรม
Leicht, A. & Heiss, J. & Byun, W. J. (2018). Issues and Trends in Education for Sustainable Development. UNESCO Publishing.
Shackleton, R. T., Adriaens, T., Brundu, G., Dehnen-Schmutz, K., Estévez, R. A., Fried, J., ... & Richardson, D. M. (2019). Stakeholder engagement in the study and management of invasive alien species. Journal of environmental management, 229, 88-101.
Simon, M. N., Machado, F. A., & Marroig, G. (2016). High evolutionary constraints limited adaptive responses to past climate changes in toad skulls. Proceedings of the Royal Society B: Biological Sciences, 283(1841), 20161783.
Verbrugge, L. N. and et al. (2021). Novel Tools and Best Practices for Education about Invasive Alien Apecies. Management of Biological Invasions. Invasivesnet.
