การวิเคราะห์พฤติกรรมต่าง ๆในธรรมชาตินั้น หากต้องการศึกษาระบบในธรรมชาติโดยใช้วิธีการเชิงประจักษ์ที่ซึ่งอาศัยการสังเกตและทำการทดลอง ระเบียบวิธีขั้นต้นเราเริ่มจากการกำหนดตัวแปรต้นคืออินพุตที่เราป้อนเข้าสู่ระบบ จากนั้นกำหนดตัวแปรตามคือเอาท์พุตค่าที่ได้จากการสังเกต ปัจจัยอื่น ๆที่อาจส่งผลต่อระบบจะต้องควบคุมให้คงที่เราเรียกตัวแปรนี้ว่าตัวแปรควบคุม หากความสัมพันธ์ของตัวแปรต้นและตัวแปรตามมีลักษณะเป็นแบบ one to one หรือ many to one แล้วเราสามารถอธิบายระบบนี้ได้ด้วยฟังก์ชัน เนื้อหาบทนี้จึงเป็นการศึกษาฟังก์ชันที่เน้นไปที่พฤติกรรมของฟังก์ชันเช่นพฤติกรรมการเพิ่ม การลด ความสมมาตร ความสัมพันธ์เหล่านี้จะเป็นรูปธรรมมากขึ้นเพื่อนำมาสร้างเป็นกราฟในเรขาคณิต ในปัจจุบันมีซอฟต์แวร์มากมายที่ช่วยในการสร้างกราฟ แต่สิ่งสำคัญคือการเข้าใจคุณสมบัติและพฤติกรรมโดยจะเราจะทำการศึกษาเพียงฟังก์ชันพีชคณิต เพื่อเป็นรากฐานในการศึกษาคณิตศาสตร์ขั้นต่อไป
ภาพที่ 1 ฟังก์ชัน
ที่มา วีระ ยุคุณธร
ดังที่กล่าวมาข้างต้นถ้าความสัมพันธ์ของอินพุตและเอาท์พุตเป็นฟังก์เราสามารถสร้างเป็นฟังก์ชันเพื่ออธิบายพฤติกรรมต่างในธรรมชาติได้ การวิเคราะห์พฤติกรรมอย่างง่ายในเชิงปริมาณเช่น พฤติกรรมมีลักษณะเพิ่มขึ้น ลดลง หรือ คงที่ สำหรับกรณีคงที่นั้นหมายความว่าอินพุตไม่ส่งผลอะไรต่อเอาท์พุต หากเราสมมติให้ x เป็นอินพุต และ y เป็นเอาท์พุต ฟังก์ชันจะคงที่นั้นหมายความว่าไม่ว่า x จะเป็นค่าใดค่า y ย่อมมีค่าเท่าเดิมเสมอแสดงได้ดังตารางต่อไปนี้
ตารางที่ 1 ลักษณะข้อมูลของฟังก์ชันคงที่เมื่อกำหนดอินพุตเป็น {-7,-2,0,2,5}
X |
-7 |
-2 |
0 |
2 |
5 |
Y |
4 |
4 |
4 |
4 |
4 |
ถ้าทุกค่า x ที่อยู่ในโดเมนของฟังก์ชันทำให้ y มีค่าเป็น 4 เสมอเราสามารถเขียนฟังก์ชันได้ด้วย
f(x) = 4
เมื่อพิจารณาพฤติกรรมตารางที่ 2
ตารางที่ 2 ลักษณะข้อมูลของฟังก์ชันเพิ่มและลดเมื่อกำหนดอินพุตเป็น {-7,-2,0,2,5}
X |
-7 |
-2 |
0 |
2 |
5 |
W |
5 |
8 |
9 |
13 |
15 |
Z |
5 |
4 |
0 |
-1 |
-5 |
จะพบว่าความสัมพันธ์ของ x และ w มีแนวเพิ่มขึ้นเนื่องจากเมื่ออินพุต x เพิ่มส่งผลให้ค่าเอาท์พุต w เพิ่มขึ้น ในทางกลับกันจะพบว่า x และ z มีลักษณะลดนั้นคือเมื่อ x เพิ่มขึ้นค่า y กลับมีค่าลดลง เราจะอธิบายพฤติกรรมการเพิ่มและการลดด้วยฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ได้ดังนี้
เราจะกล่าวว่า f เป็นฟังก์ชันเพิ่ม เมื่ออินพุตเพิ่มแล้วค่าเอาท์พุตเพิ่มด้วยเช่นกันและจะกล่าวว่า f เป็นฟังก์ชันลดถ้าอินพุตเพิ่มแต่เอาท์พุตลด ถ้าเราสมมติให้ x1 และ x2 เป็นอินพุตโดยที่ x2 > x1 เมื่อพิจารณาเอาท์พุต f(x1) และ f(x2) กรณีที่ f(x2) > f(x1) นั้นคือเอาท์พุตเพิ่ม เราจะสรุปว่า f เป็นฟังก์ชันเพิ่ม แต่ถ้า f(x2) < f(x1) เราจะสรุปว่าเป็นฟังก์ชันลด ข้อสรุปนี้จะเป็นจริงก็ต่อเมื่อเราทำการตรวจสอบทุกค่าบนโดเมนเขียนเป็นนิยามที่รัดกุมได้ดังนี้
f เป็นฟังก์ชันเพิ่มก็ต่อเมื่อ สำหรับทุก x1 และ x2 ในโดนเมนของฟังก์ชันถ้า x1 < x2 แล้ว f(x1) < f(x2)
f เป็นฟังก์ชันลดก็ต่อเมื่อ สำหรับทุก x1 และ x2 ในโดนเมนของฟังก์ชันถ้า x1 < x2 แล้ว f(x1) > f(x2)
f ไม่เป็นฟังก์ชันเพิ่มก็ต่อเมื่อ มี x1 และ x2 ในโดนเมนของฟังก์ชันโดยที่ x1 < x2 แต่ f(x1) >= f(x2)
f ไม่เป็นฟังก์ชันลดก็ต่อเมื่อ มี x1 และ x2 ในโดนเมนของฟังก์ชันโดยที่ x1 < x2 แต่ f(x1) <= f(x2)
ตัวอย่างที่ 1 กำหนดให้ f(x) = x2 มีโดเมนคือ [0,5] จะแสดงว่า f เป็นฟังก์ชันเพิ่ม ให้ x1 และ x2 เป็นจำนวนใด ๆที่อยู่ใน [0,5] โดยที่ x1 < x2
ในกรณีที่ 0 = x1 < x2 เห็นได้ชัดเจนว่า f (x1) < f(x2)
ในกรณีที่ 0 < x1 < x2 < 5 นำ x1 และ x2 คูณอสมการ โดยคุณสมบัติของอสมการการคูณด้วยจำนวนบวกจะได้
(x1)2 < (x2)(x1) และ (x2)(x1) < (x2)2
โดยสมบัติถ่ายทอดจะได้ว่า (x1)2 < (x2)2 จะเห็นว่า f(x1) < f(x2)
สรุปได้ว่า f เป็นฟังก์ชันเพิ่ม
ตัวอย่างที่ 2 กำหนดให้ f(x) = x2 มีโดเมนคือ [-5,0] จะแสดงว่า f เป็นฟังก์ชันลด ให้ x1 และ x2 เป็นจำนวนใด ๆที่อยู่ใน [-5,0] โดยที่ x1 < x2
ในกรณีที่ -5 < x1 < x2 = 0 เนื่องจาก x เป็นจำนวนลบเมื่อยกกำลังสองแล้วจะเป็นจำนวนบวกดังนั้น f (x1) > f(x2)
ในกรณีที่ -5 < x1 < x2 < 0 นำ x1 และ x2 คูณอสมการ โดยคุณสมบัติของอสมการการคูณด้วยจำนวนลบจะได้
(x1)2 > (x2)(x1) และ (x2)(x1) > (x2)2
โดยสมบัติถ่ายทอดจะได้ว่า (x1)2 > (x2)2 จะเห็นว่า f(x1) > f(x2)
ดังนั้น f เป็นฟังก์ชันเพิ่ม
ตัวอย่างที่ 3 กำหนดให้ f(x) = x2 มีโดเมนคือ [-5,5] จะแสดงว่า f ไม่เป็นฟังก์ชันเพิ่ม เลือก x1 = -2 และ x2 = 2 พบว่า x1 < x2 พิจารณา f(x1) = (x1)2 = 4 และ f(x2) = (x2)2 = 4 พบว่า f(x1) ไม่น้อยว่า f(x2) นั้นคือ f(x1) >= f(x2) ในทำนองเดียวกันดังสรุปได้อีกว่า f ไม่เป็นฟังก์ชันลด เนื่องจาก f(x2) ไม่มากกว่า f(x1) เช่นเดียวกัน
ในบางครั้งพฤติกรรมในธรรมชาตินั้นอาจจะมีลักษณะสมมาตร ณ จุดสังเกต (เส้นสมมาตร) กล่าวคือพฤติกรรมทางขวาและพฤติกรรมทางซ้ายอาจมีลักษณะเดียวกัน (สมมาตร) หรือ ตรงข้ามกัน (ปฏิสมมาตร) เป็นต้นเช่น ตารางที่ 3 กำหนดให้ x = 0 เป็นจุดสังเกต (x = 0 เป็นเส้นสมมาตร)
ตารางที่ 3 ลักษณะข้อมูลของฟังก์ชันสมมาตรและปฏิสมมาตรเมื่อกำหนดอินพุตเป็น {-5,-2,0,2,5}
X |
-5 |
-2 |
0 |
2 |
5 |
W |
25 |
4 |
1 |
4 |
25 |
Z |
-25 |
-4 |
1 |
4 |
25 |
สังเกตความสัมพันธ์ของ x และ w พบว่า w(0) = 1, w(-2) = w(2), w(-5)=w(5) สำหรับความสัมพันธ์ของ x และ z พบว่า z(0) = 1, z(-2) = -z(2), z(-5) = -z(5) ถ้าฟังก์ชันมีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกันนี้ตลอดโดเมน เราจะกล่าวว่า w เป็นฟังก์ชันคู่ และ z เป็นฟังก์ชันคี่ตามลำดับ นิยามในเชิงคณิตศาสตร์ได้ดังนี้
f เป็นฟังก์ชันคู่ก็ต่อเมื่อ สำหรับทุก x ในโดนเมนของฟังก์ชัน f(-x) = f(x)
f เป็นฟังก์ชันคี่ก็ต่อเมื่อ สำหรับทุก x ในโดนเมนของฟังก์ชัน f(-x) = -f(x)
ตัวอย่างที่ 4 กำหนดฟังก์ชัน f(x) = 7x2 โดยที่ x เป็นจำนวนจริงใด ๆ จะแสดงว่า f เป็นฟังก์ชันคู่ พิจารณา
f(-x) = 7(-x)2 = 7x2 = f(x)
สรุปได้ว่า f เป็นฟังก์ชันคู่
ตัวอย่างที่ 5 กำหนดฟังก์ชัน f(x) = -x3 โดยที่ x เป็นจำนวนจริงใด ๆ จะแสดงว่า f เป็นฟังก์ชันคี่ พิจารณา
f(-x) = -(-x)3 = -(-x3 )= -f(x)
สรุปได้ว่า f เป็นฟังก์ชันคี่
กราฟของฟังก์ชัน
ความสัมพันธ์ของอินพุตและเอาท์พุตสามารถเขียนแทนได้ด้วยคู่อันดับสามารถนำมาเขียนเป็นกราฟในระนาบ 2 มิติได้ โดยให้ x เป็นอินพุตและแกน y เป็นเอาท์พุต ตัวอย่างในตารางที่ 1 เขียนแทนกราฟได้ดังนี้
ภาพที่ 2 การสร้างกราฟในตารางที่ 1
เห็นได้ชัดว่ากราฟนี้ลักษณะคงที่ หากเราเขียนภาพตลอดโดนเมนจำนวนจริงของฟังก์ชัน f(x) = 4 จะได้กราฟดังรูป
ภาพที่ 3 กราฟ f(x) = 4
สำหรับตารางที่ 2 จะได้กราฟ
ภาพที่ 4 คู่อันดับ (x,w) ในตารางที่ 2
ภาพที่ 5 คู่อันดับ (x,z) ในตารางที่ 2
จากภาพที่ 4 และภาพที่ 5 พบว่าฟังก์ชันมีแนวโน้มลดและเพิ่มขึ้นตามลำดับ จะเห็นว่าการเขียนกราฟในทำให้เราสามารถมองพฤติกรรมของฟังก์ชันได้ชัดเจนเป็นรูปธรรมมากกว่า
ในทางกลับกันหากเรามีฟังก์ชันที่กำหนดไว้แล้วสามารถนำมาเขียนเป็นกราฟได้ เมื่อนำฟังก์ชันตัวอย่างในตัวอย่างที่ 1 ตัวอย่างที่ 2 และตัวอย่างที่ 3 จะเห็นได้โดยง่ายในภาพที่ 6 จะเห็นว่าแนวโน้มฟังก์ชันเพิ่มเมื่อพิจารณา x ในช่วง [0,5] และมีแนวโน้มลดลงในช่วง [-5,0]ดังภาพที่ 7 สำหรับภาพที่ 8 จะสังเกตได้ว่าช่วงสำหรับค่า x ในช่วง [-5,5] ไม่สามารถสรุปได้ว่าเพิ่มหรือลดในช่วงดังกล่าว ลักษณะกราฟที่ได้ต่างสอดคล้องกับตัวอย่างในหัวข้อ 1.1
ภาพที่ 6 กราฟฟังก์ชันตัวอย่างที่ 1 ภาพที่ 7 กราฟฟังก์ชันตัวอย่างที่ 2
ภาพที่ 8 กราฟฟังก์ชันตัวอย่างที่ 3
ฟังก์ชันที่มีอินพุตตัวแปรเดียวสามารถแทนได้ด้วยรูปเรขาคณิตในระนาบในส่วนถัดไปเราจะทำศึกษากราฟการดำเนินการบนกราฟและนิพจน์ฟังก์ชันที่เปลี่ยนไป ในหัวข้อ 1.2 ได้ทำการศึกษาการวิเคราะห์ฟังก์ชันสมมาตรเมื่อพิจารณารูปภาพของตารางที่ 2 ดังภาพ 9 และ 10
ภาพที่ 9 คู่อันดับ (x,w) ในตารางที่ 3 ภาพที่ 10 คู่อัน (x,z) ในตารางที่ 3
จากภาพที่ 9 พบว่าเป็นเส้นตรง x = 0 ทำหน้าที่เป็นเส้นสะท้อนระหว่างระนาบซ้ายและราบขวา ในขณะที่ภาพที่ 10 เป็นการสะท้อนแบบปฏิสมมาตร ตามที่กล่าวมาเป็นการแปลงเรขาคณิตแบบสะท้อน ก่อนอื่นเราจะศึกษาสมบัติการแปลงที่สำคัญข้อหนึ่งคือการเลื่อนขนาน ในที่นี้ผู้เขียนจะไม่กล่าวถึงสมบัติการหมุนเนื่องจากต้องใช้พีชคณิตเชิงเส้นขั้นสูงในการอธิบาย
พิจารณากราฟของฟังก์ชัน f(x) = 2x, g(x) = 2(x+2) และ h(x) =2(x-2) ดังภาพที่ 11
ภาพที่ 11 กราฟฟังก์ชัน f, g และ h
จะเห็นว่ากราฟ f, g และ h ขนานกันอธิบายได้ด้วยการเลื่อนขนานทางเรขาคณิตดังนี้
เขียนฟังก์ชัน g ในรูปของฟังก์ชัน f จะได้ว่า g(x) = 2(x+2) = f(x+2) พบว่ากราฟ g เลื่อนขนานไปในแนวแกน x ทางลบ 2 หน่วย ในทำนองเดียวกันหากเขียน g(x) = 2x + 4 = f(x) + 4 สามารถมองได้อีกแบบหนึ่งว่ากราฟ g คือกราฟ f ที่มีการเลื่อนขนานในแนวแกน y ทางบวก 4 หน่วย สำหรับกราฟ h ถ้าเราเขียน h(x) = f(x-2) กราฟ h คือกราฟ f ที่มีการเลื่อนขนานแกน x ทางบวก 2 หน่วยในขณะที่ h(x) = f(x) – 4 กราฟ h คือกราฟ f ที่มีการเลื่อนขนานแกน y ทางลบจำนวน 4 หน่วยสรุปเป็นหลักการได้ดังนี้
ให้ f เป็นฟังก์ชันใดสมมติให้ h>0 เป็นส่วนเพิ่ม
f(x + h) คือกราฟ f ที่มีการเลื่อนขนานในแนวแกน x ทางลบ h หน่วย
f(x - h) คือกราฟ f ที่มีการเลื่อนขนานในแนวแกน x ทางบวก h หน่วย
f(x) + h คือกราฟ f ที่มีการเลื่อนขนานในแนวแกน y ทางบวก h หน่วย
f(x) – h คือกราฟ f ที่มีการเลื่อนขนานในแนวแกน y ทางลบ h หน่วย
สำหรับคุณสมบัติการสะท้อนนั้นได้ถูกนิยามผ่านฟังก์ชันคู่และฟังก์ชันคี่กล่าวคือ
ถ้า f(x) = f(-x) กราฟสมมาตรตามแนวแกน x
ถ้า f(x) = -f(x) กราฟจะปฏิสมมาตรแนวแกน x
ดังภาพที่ 12 และ ภาพที่ 13 ซึ่งเป็นตัวอย่างของฟังก์ชันในตัวอย่างที่ 4 และ 5 ซึ่งเป็นฟังชันก์คู่และฟังก์ชันคี่มีลักษณะสมมาตรและปฏิสมมาตรตามลำดับ
ภาพที่ 12 กราฟสมมาตรกับแกน x (สีแดง) และ กราฟปฏิสมมาตร (สีน้ำเงิน)
ฟังก์ชันเชิงเส้น
ความสัมพันธ์ของคู่อันดับ (x,y) บนผลคูณคาร์ทีเซียนของจำนวนจริงที่เขียนได้ในรูปของ y = ax + b เป็นความสัมพันธ์เชิงเส้น นิยามเป็นฟังก์ชันได้คือ f(x) = ax + b เป็นฟังก์ชันเชิงเส้นและสามารถอธิบายรูปร่างทางเรขาคณิตได้ด้วยเส้นตรงด้วยเซต L = { (x,y), y = ax + b}
การอธิบายการเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติอย่างง่ายที่สุดคือการอธิบายด้วยฟังก์ชันเชิงเส้น สมมติให้อินพุตมีการเปลี่ยนแปลงจาก x เป็น x + h โดยที่ h > 0 ส่งผลให้ เอาท์พุตเปลี่ยนจาก f(x) เป็น f(x + h) ถ้าอัตราการเปลี่ยนแปลงนี้มีค่าคงที่แล้วฟังก์ชันนี้เรียกว่าฟังก์ชันเชิงเส้น
[ f(x+h) – f(x)] / [x + h - x] = [f(x+h) – f(x)] / h= m
จะได้ว่า f(x+h) = f(x) + mh ถ้าให้ x = 0 จะได้ว่า f(h) = f(0) +mh ซึ่ง f(0) คือจุดตัดแกน y และเรียกว่า m ความชัน นิยามฟังก์ชันเชิงเส้นได้ดังนี้
เรียก f ว่าเป็นฟังก์ชันเชิงเส้นถ้าสามารถเขียน f ได้ในรูปของ f(x) = mx + b เมื่อ m และ b เป็นจำนวนจริงใด
พิจารณาค่า m
กรณีที่ m = 0 จะได้ f(x) = b สรุปได้ว่า f เป็นฟังก์ชันคงที่
กรณีที่ m > 0 เนื่องจาก h > 0 ดังนั้น [f(x+h) - f(x)] > 0 ทำให้ f(x+h) > f(x) สรุปได้ว่า f เป็นฟังก์ชันเพิ่ม
กรณีที่ m < 0 เนื่องจาก h > 0 ดังนั้น [f(x+h) - f(x)] < 0 ทำให้ f(x+h) < f(x) สรุปได้ว่า f เป็นฟังก์ชันลด
สอดคล้องกันกับฟังก์ชัน f(x) = 4 (สีน้ำเงิน), g(x) = 3x -2 (สีเขียว) และ h(x) = -2x + 3 (สีแดง) ซึ่งมีความเป็นศูนย์ มากกว่าศูนย์ และน้อยกว่าศูนย์ตามลำดับ
ภาพที่ 13 การแปลผลความชันของเส้นตรงกับพฤติกรรมของฟังก์ชันเชิงเส้น
ในความเป็นจริงข้อมูลที่ได้มักจะไม่มีลักษณะเป็นเชิงเส้นอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามหากพฤติกรรมมีแนวโน้มเป็นเส้นตรงแล้วเราสามารถประมาณหรือทำนายพฤติกรรมได้ด้วยสมการเชิงเส้น สมมติให้ข้อมูลที่เก็บได้มีจำนวน n ข้อมูลซึ่งเซตของข้อมูลกำหนดโดย { (x1,y1), (x2,y2), … , (xn,yn) } เมื่อนำไปวางจุดแล้วพบว่ามีแนวโน้มเป็นเส้นตรงดังนั้นเราจะหาฟังก์ชันเชิงเส้นในรูป f(x) = ax + b เพื่ออธิบายพฤติกรรมนี้ดังนั้น เอาท์พุต y1 จะถูกประมาณด้วย a(x1) + b โดยมีความคลาดเคลื่อน e1 = y1 – [ a(x1) + b] ซึ่งมีความคลาดเคลื่อนทั้งสิ้น n ค่า ( e1, e2, …, en ) แต่การคำนวณความคลาดเคลื่อนหาก e1 = 1 และ e2 = -1 เมื่อรวมกันแล้วจะได้ e1 + e2 = 0 ตีความได้ว่าไม่มีความคลาดเคลื่อนไม่สมเหตุสมผล ดังนั้นเราจะต้องทำให้เป็นบวกเสมอด้วยการยกกำลังสองจะได้ ei2 = (yi – [a(xi) + b])2 ด้วยเทคนิคการหาค่าต่ำสุดเราจะได้ระบบสมการ **หมายเหตุสัญลักษณ์ Sigma ในที่นี้หมายถึงผลบวกพจน์ที่ 1 ถึงพจน์ที่ n
โดยกฎของเครเมอร์จะได้
โดยที่
ในกรณีที่มีการเก็บช้อมูลในรูปของเวกเตอร์ n tuple สมมติให้
X = (x1,x2,x3,…,xn) และ Y = (y1,y2,y3,…,yn) เราสามารถหาค่าเฉลี่ยของ X และ Y ขณะเดียวกันพิจารณา
โดยกฎของเครเมอร์จะได้
โดยที่
พิจารณา covariance
ในทำนองเดียวกันจะได้
จึงได้ว่า
ตัวอย่างที่ 6 ผลการเก็บค่าที่วัดได้จากระบบแสดงดังตาราง
Input |
1.4 |
2.1 |
5.3 |
5.7 |
6.8 |
9.2 |
9.9 |
output |
6.7 |
12.2 |
28.1 |
30 |
32.3 |
51.8 |
60 |
ทำการวิเคราะห์พารามิเตอร์จะได้ว่า
ค่าเฉลี่ย input = 5.7714 , ค่าเฉลี่ย output = 31.5857, Sxx = 62.6743 และ Sxy = 369.0671 ซึ่งแทนสูตรข้างต้นจะได้ a = 5.89 และ b = -2.41 เราจะได้สมการที่ใช้ประมาณคือ y = 5.89 – 2.41
ภาพที่ 14 การประมาณเชิงเส้นด้วยโปรแกรม Geogebra
ฟังก์ชันกำลังสอง
ฟังก์ชันพีชคณิตที่มีตัวแปรต้นกำลังศูนย์หรือหนึ่งนั้นเป็นฟังก์ชันเชิงเส้น นอกเหนือจากนี้จะให้กราฟที่มีลักษณะเป็นเส้นโค้งในที่นี้เราจะศึกษาฟังก์ชันที่อยู่ในรูปของพหุนามกำลังสอง
4.1 กราฟฟังก์ชันกำลังสอง
พหุนามกำลังสองอยู่ในรูปของ ax2 + bx + c เมื่อ a, b และ c เป็นจำนวนจริงใด ๆ เรานิยามเป็นฟังก์ชัน
P(x) = ax2 + bx + c
= a[(x + b/(2a))2 - b2/(4a2) + c/a]
= a[(x + b/(2a))2 - (b2 - 4ac)/(4a2)]
ถ้ากำหนดให้ h = - b/2a และ k = - (b2 - 4ac)/(4a) ฟังก์ชันที่อยู่รูป
P(x) = a(x - h)2 + k
มีกราฟเป็นรูปพาราโบลา
กรณีที่ a > 0 จะเป็นกราฟพาราโบลาหงายและมีต่ำสุดอยู่ที่จุด (h,k)
กรณีที่ a < 0 จะเป็นกราฟพาราโบลาคว่ำมีจุดสูงสุดอยู่ที่จุด (h,k)
ตัวอย่างที่ 7 ให้ f(x) = 3x2 + 18x + 28 จะได้ว่า a =3, b= 18 และ c = 28 พิจารณา h = - b/2a = -3 และ k = - (b2 - 4ac)/(4a) = - (182 – 4x3x28)/(4x32) = 1 นั้นคือ f(x) = 3(x + 3)2 + 1 เนื่องจาก a > 0 กราฟเป็นรูปพาราโบลาหงายมีจุดยอดเป็นจุดต่ำสุดที่ (-3,1) ดังภาพที่ 15
ตัวอย่างที่ 8 ให้ f(x) = -3x2 + 18x + 28 จะได้ว่า a =-3, b= 18 และ c = 28 พิจารณา h = - b/2a = 3 และ k = - (b2 - 4ac)/(4a) = 7 นั้นคือ f(x) = 3(x - 3)2 + 7 เนื่องจาก a < 0 กราฟเป็นรูปพาราโบลาคว่ำมีจุดยอดเป็นจุดสูงสุดที่ (3,7) ดังภาพที่ 16
ภาพที่ 15 กราฟพาราโบลาของตัวอย่างที่ 7 ภาพที่ 16 กราฟพาราโบลาของตัวอย่างที่ 8
4.2 ฟังก์ชันกำลังกับคำตอบของสมการพหุนามกำลังสอง
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นการศึกษาฟังก์ชันกำลังสองบนแนวคิดของภาคตัดกรวยที่มีรูปร่างเป็นพาราโบลาต่อไปเราจะศึกษาฟังก์ชันกำลังสองบนแนวคิดของพีชคณิต ย้อนกลับไปที่สมการพหุนามกำลัง 2 ในระบบจำนวนจริงจะพบว่าสมการที่อยู่ในรูป ax2 + bx + c = 0 จะมีคำตอบได้สามกรณีขึ้นค่า discriminant D = b2 – 4ac
กรณีที่ D < 0 สมการไม่มีคำตอบที่เป็นจำนวนจริง
กรณีที่ D = 0 สมการมีคำตอบเพียงคำตอบเดียว
กรณีที่ D > 0 สมการมีคำตอบเป็นจำนวนจริง 2 คำตอบ
จากสมการดังกล่าว ถ้าให้ f(x) = ax2 + bx + c และให้ r เป็นคำตอบของสมการแล้ว เมื่อนำไปแทนค่าในสมการจะได้ ar2 + br + c = 0 สรุปได้ว่า ถ้า r เป็นคำตอบของสมการพหุนามกำลังสองแล้ว f(r) = 0 เขียนได้ในรูปคู่อันดับ (r,0) ที่ซึ่งเป็นจุดบนแกน x พิจารณาตัวอย่างของสมการพหุนามต่อไปนี้ต่อไปนี้
ตัวอย่างที่ 9 พิจารสมการ 6x2 + 23x - 18 = 0
พิจารณา D = 232 – 4x6x(-18) > 0 สมการนี้มีคำตอบเป็นจำนวนจริงสองคำตอบ หาจำนวนสองจำนวนที่ซึ่งผลคูณเท่ากับ 6x(-18) = - 108 แต่มีผลบวกเท่ากับ 23 จะได้ว่าจำนวนสองจำนวนนั้นคือ 27 และ – 4 ดังนั้น 6x2 + 23x – 18 = 6x2 – 4x + 27x – 18 = 2x(3x – 2) + 9(3x – 2) = (3x – 2)(2x + 9) = 0 ดังนั้นคำตอบสมการคือ {2/3, -9/2} เมื่อพิจารณากราฟคำตอบจะพบว่าเส้นกราฟตัดแกน x ที่จุด (2/3,0) และ (-9/2,0) ดังภาพที่ 17
ภาพที่ 17 กราฟของฟังก์ชัน f(x) = 6x2 + 23x - 18
ตัวอย่างที่ 10 พิจารณาสมการ 4x2 + 20x +25 = 0
พิจารณา D = 202 – 4x4x25 = 0 สมการนี้มีคำตอบเป็นจำนวนจริงเพียงคำตอบเดียวดังนั้น
4x2 + 20x + 25 = (2x)2 + 2(2x)(5) + 52 = (2x+5)2 = 0
ดังนั้นคำตอบสมการคือ {-5/2} เมื่อพิจารณากราฟคำตอบจะพบว่าเส้นกราฟตัดแกน x ที่จุด (-5/2,0) เพียงจุดเดียวดังภาพที่ 18
ภาพที่ 18 กราฟของฟังก์ชัน f(x) = 4x2 + 20x + 15
ตัวอย่างที่ 11 พิจารณาสมการ 2x2 + 2x + 5 = 0
พิจารณา D = 22 – 4x2x5 < 0 สมการนี้ไม่มีคำตอบที่เป็นจำนวนจริง เนื่องจาก
2x2 + 2x + 5 = 2(x2 + x) + 5 = 2(x + 0.5)2 - 0.25 + 5 = 2(x + 0.5)2 + 4.75 >= 4.75
พหุนามมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 4.75 เสมอ ดังนั้นไม่มีจำนวนจริง x ที่ทำให้ 2x2 + 2x + 5 = 0 ในภาพที่ 19 เส้นกราฟของฟังก์ชันจึงไม่ตัดแกน x
ภาพที่ 19 กราฟของฟังก์ชัน f(x) = 2x2 + 2x + 5
ฟังก์ชันพหุนาม
ให้ P(x) ฟังก์ชันพหุนามดีกรี n เขียนได้ในรูป
P(x) = a0 + a1x + a2x2 + … + anxn
เรียก ai สำหรับ i = 1,2,3,…, n ว่าสัมประสิทธิ์ กรณีที่สัมประสิทธิ์นำ an = 1 เรียกพหุนามนี้ว่าพหุนามโมนิค ในหัวข้อนี้เราจะศึกษาเกี่ยวกับพหุนามโมนิค จากทฤษฎีมูลฐานของพีชคณิตเราจะพบว่า พหุนามดีกรี n นั้นจะประกอบด้วยรากจำนวน n รากในที่นี้แทนด้วย k1, k2, …, kn นั้นคือ
P(x) = (x – k1)(x – k2)…(x – kn)
ในกรณีที่รากเป็นจำนวนจริงเราจะได้ว่ากราฟพหุนามจะตัดแกน x จำนวน n ครั้งในกรณีที่ k1, k2,…, kn แตกต่างกันทั้งหมด แต่ในกรณีที่มีรากซ้ำเส้นกราฟจะตัดแกน x ที่ค่ารากเพียงครั้งเดียวซึ่งผู้เขียนจะยกตัวอย่างพหุนามกำลังสามประกอบตัวเพื่อความสะดวกจะพิจารณาพหุนามโมนิคที่มีค่ารากเป็นจำนวนเต็มซึ่งในกรณีที่รากเป็นจำนวนจำนวนจริงใด ๆ แนวคิดในการวิเคราะห์เป็นไปในทำนองเดียวกัน สมมติให้มีราก 3 รากประกอบด้วย k1, k2 และ k3 เราจะวิเคราะห์ประเภทกราฟจากการซ้ำของรากพหุนาม 3 กรณีคือ กรณีไม่มีรากซ้ำ {k1, k2, k3} , กรณีมีรากซ้ำ 1 ค่า { 2(k1), k2} , กรณีที่มีรากซ้ำกัน 3 ค่า {3(k1)}
ตัวอย่างที่ 12 พิจารณากราฟพหุนาม P(x) = (x-1)(x+2)(x+5) ในภาพที่ 20 จะพบว่าพหุนามมีรากแตกต่างกัน 3 ค่าคือ { -5, -2, 1 } กราฟฟังก์ชันจึงตัดแกน x ที่จุด (-5,0), (-2,0) และ (1,0)
ภาพที่ 20 กราฟฟังก์ชัน P(x) = (x-1)(x+2)(x+5)
หากเราทำการวิเคราะห์ค่าของฟังก์ชันตามโดเมนของฟังก์ชันจะพบว่าโดเมนถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วนคือ
P1 = (-infinity,-5), P2 = (-5,-2), P3 = (-2,1), P4 = (1,infinity) พบว่า
ค่า x ที่อยู่ในช่วงของ P1 จะทำให้ค่าฟังก์ชันเป็นลบ
ค่า x ที่อยู่ในช่วงของ P2 จะทำให้ค่าฟังก์ชันเป็นบวก
ค่า x ที่อยู่ในช่วงของ P3 จะทำให้ค่าฟังก์ชันเป็นลบ
ค่า x ที่อยู่ในช่วงของ P4 จะทำให้ค่าฟังก์ชันเป็นบวก
จากการสังเกตตำแหน่งค่าราก x = -5, x = -2 และ x = 1 พบว่าค่าฟังก์ชันทางด้านซ้ายและทางด้านขวามีเครื่องหมายที่แตกต่างกัน
ตัวอย่างที่ 13 พิจารณากราฟพหุนาม P(x) = (x-1)(x-1)(x+2) ในภาพที่ 21 พบว่าพหุนามมีรากแตกต่างกัน 2 ค่าและมีรากซ้ำ 1 ค่าคือ { -2, 2(1) } กราฟฟังก์ชันจึงตัดแกน x ที่จุด (-2,0) และ (1,0)
ภาพที่ 21 กราฟฟังก์ชัน P(x) = (x-1)(x-1)(x+2)
วิเคราะห์ค่าของฟังก์ชันตามโดเมนของฟังก์ชันจะพบว่าโดเมนถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ
P1 = (-infinity,-2), P2 = (-2,1), P3 = (1,infinity) พบว่า
ค่า x ที่อยู่ในช่วงของ P1 จะทำให้ค่าฟังก์ชันเป็นลบ
ค่า x ที่อยู่ในช่วงของ P2 จะทำให้ค่าฟังก์ชันเป็นบวก
ค่า x ที่อยู่ในช่วงของ P3 จะทำให้ค่าฟังก์ชันเป็นบวก
จากการสังเกตตำแหน่งค่าราก x = -2 พบว่าค่าฟังก์ชันทางด้านซ้ายและทางด้านขวามีเครื่องหมายที่แตกต่างกันแต่ ณ ตำแหน่งของ x = 1 ซึ่งเป็นรากซ้ำกลับพบว่าค่าฟังก์ชันทางด้านซ้ายและทางด้านขวามีเครื่องหมายเหมือนกัน
ตัวอย่างที่ 14 พิจารณากราฟพหุนาม P(x) = (x-1)(x-1)(x-1) ในภาพที่ 22 พบว่าพหุนามมีรากซ้ำ 3 ค่าคือ { 3(1) } กราฟฟังก์ชันจึงตัดแกน x เพียงจุดเดียวคือจุด (1,0)
ภาพที่ 22 กราฟฟังก์ชัน P(x) = (x-1)(x-1)(x-1)
ในกรณีนี้โดเมนของฟังก์ชันถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
P1 = (-infinity,1) และ P2 = (1,infinity) พบว่า
ค่า x ที่อยู่ในช่วงของ P1 จะทำให้ค่าฟังก์ชันเป็นลบ
ค่า x ที่อยู่ในช่วงของ P2 จะทำให้ค่าฟังก์ชันเป็นบวก
พบว่าที่ตำแหน่งค่าราก x = 1 ค่าฟังก์ชันทางด้านซ้ายและทางด้านขวามีเครื่องหมายที่แตกต่างกัน
ฟังก์ชันเชิงสัดส่วน
ฟังก์ชันเชิงสัดส่วนคือฟังก์ชันที่เขียนอยู่ในรูปของเศษส่วน เงื่อนไขสำคัญที่จะต้องพิจารณาเสมอสำหรับการเขียนในรูปเศษส่วนคือตัวเศษจะต้องไปเป็นศูนย์ ในหัวข้อนี้เราจะพิจารณากราฟของฟังก์ชันเชิงสัดส่วนที่มีตัวเศษและตัวส่วนเป็นพหุนาม และจะกล่าวถึงเทคนิคสำคัญสำหรับการแก้ปัญหาฟังก์ชันเชิงสัดส่วนคือการแยกเศษส่วนย่อย
กำหนดให้ A(x) และ B(x) เป็นพหุนามถ้า Q(x) = A(x) / B(x) โดยที่ B(x) ไม่เท่ากับศูนย์ เราจะทำการวิเคราะห์ฟังก์ชันเชิงสัดส่วนด้วยการเขียนกราฟจากตัวอย่างต่อไปนี้
ตัวอย่างที่ 15 พิจารณากราฟ f(x) = 1 / (x -1 ) จะพบว่าที่ x = 1 ไม่นิยามทำให้ฟังก์ชัน f(1) หาค่าไม่ได้
ภาพที่ 23 กราฟฟังก์ชัน 1 / (x -1 )
ตัวอย่างที่ 16 จากกราฟของฟังก์ชัน f(x) = (x2 - 1) / (x + 1) จะพบว่า f(-1) ไม่นิยาม แต่สำหรับกรณีที่ x ไม่เท่ากับ 1 เมื่อพิจารณานิพจน์ (x2 – 1) / (x + 1) = (x - 1) นั้นคือบริเวณโดเมนที่ไม่ใช่ 1 ฟังก์ชันนี้จะมีพฤติกรรมแบบเดียวกับฟังก์ชัน x - 1
ภาพที่ 23 กราฟฟังก์ชัน (x2 - 1) / (x + 1)
ตัวอย่างที่ 17 กราฟของฟังก์ชัน [(x + 1)(x + 2)] / [(x – 2)(x + 3)] ณ จุดที่ไม่นิยามได้แก่ x = 2 และ x = -3 จะพบว่าฟังก์ชันหาค่าไม่ได้และมีแนวโน้มการลู่ออกไปในทิศทางที่ต่างกัน
ภาพที่ 23 กราฟฟังก์ชัน [(x + 1)(x + 2)] / [(x – 2)(x + 3)]
ข้อสังเกตที่พบจากตัวอย่างทั้งสามคือ ในกรณีที่ฟังก์ชันเชิงสัดส่วนสามารถลดรูปเป็นนิพจน์พีชคณิตทั่วไปดังตัวอย่างที่ 16 พฤติกรรมของฟังก์ชันจะมีพฤติกรรมแบบเดียวกันฟังก์ชันที่ลดรูปแล้วแต่ไม่สามารถหาค่าได้ ณ ตำแหน่งที่ไม่นิยาม แต่สำหรับตัวอย่างที่ 15 และ 17 เราพบว่าฟังก์ชันมีแนวโน้มลู่ออกแต่อาจเป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือต่างทิศทางกันก็ได้เช่นกราฟ 1 / (x-1)2 เป็น
พิจารณาการบวกกันของฟังก์ชันพหุนามเชิงสัดส่วน
A / (x – r) + B / (x – s) = [(A+B)x + (As+Br)] / [(x-r)(x-s)]
นั้นคือฟังก์ชันเชิงสัดส่วนในรูป (ax + b) / (x-r)(x-s) สามารถแยกได้เป็นผลบวกของ A / (x – r) + B / (x – s)
สมมติให้ (ax + b) / (x – r)(x – s) = A / (x – r) + B / (x – s)
นำ (x – r)(x – s) คูณตลอดจะได้
(ax + b) = A(x – s) + B(x – r)
แทนค่า x = s จะได้
as + b = B(s-r)
พบว่า B = (as + b) / (s – r) จากนั้นแทนค่า x = r จะได้
ar + b = A(r-s)
พบว่า A = (ar + b) / (r-s)
ฟังก์ชันเชิงสัดส่วนที่ตัวส่วนสามารถแยกตัวประกอบได้อาจสามารถเขียนใหม่ได้ในรูปผลบวก เราเรียกวิธีการนี้ว่าการแยกเศษส่วนย่อย
ตัวอย่างที่ 18 จงแยกเศษส่วนย่อยของ (5x – 19) / (x2 – 5x + 6)
(5x – 19) / (x2 – 5x + 6) = (5x – 19) / (x – 2)(x – 3)
ในที่นี้ a = 5, b = -19, r = 2 และ s = 3 จะได้
A = (5x2 – 19) / (2 – 3) = 9 และ B = (5x3 – 19) / (3 – 2) = -4
ดังนั้น (5x – 19) / (x2 – 5x + 6) = 9 / (x – 2) – 4 / (x – 3)
แหล่งที่มา
Donald L.H. and James F.H. (1998). Data, Statistics and decision models with excel. Anabella Breakey.
John B. (2007). Engineering mathematics. Elsevier Ltd.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) กระทรวงศึกษาธิการ เป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่แสวงหากำไร ได้จัดทำเว็บไซต์คลังความรู้ SciMath เพื่อส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีทุกระดับการศึกษา โดยเน้นการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นหลัก หากท่านพบว่ามีข้อมูลหรือเนื้อหาใด ๆ ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ โปรดแจ้งให้ทราบเพื่อดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุด
The Institute for the Promotion of Teaching Science and Technology (IPST), Ministry of Education, a non-profit organization under the Thai government, developed SciMath as a website that provides educational resources in Science, Mathematics and Technology. IPST invites visitors to use its online resources for personal, educational and other non-commercial purpose. If there are any problems, please contact us immediately.
Copyright © 2018 SCIMATH :: คลังความรู้ SciMath. Terms and Conditions. Privacy. , All Rights Reserved.
อีเมล: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. (ให้บริการในวันและเวลาราชการเท่านั้น)