logo IPST4 IPST4
  • วีดิทัศน์
  • คลังภาพ
  • บทความ
  • โครงงาน
  • บทเรียน
  • แผนการสอน
  • E-Books
    • คู่มือครู
    • คู่มือการใช้หลักสูตร
    • ชุดสื่อ 60 พรรษา
    • หนังสือเรียน
    • Ebook อื่นๆ
  • Apps
  • เกี่ยวกับ scimath
  • ติดต่อเรา
  • สรุปข้อมูล
  • แผนผังเว็บไซต์
ลงชื่อเข้าสู่ระบบ
ลงชื่อเข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมรหัสผ่าน
  • คำถามที่พบบ่อย
  • วีดิทัศน์
  • คลังภาพ
  • บทความ
  • โครงงาน
  • บทเรียน
  • แผนการสอน
  • E-Books
    • คู่มือครู
    • คู่มือการใช้หลักสูตร
    • ชุดสื่อ 60 พรรษา
    • หนังสือเรียน
    • Ebook อื่นๆ
  • Apps
  • เกี่ยวกับ scimath
  • ติดต่อเรา
  • สรุปข้อมูล
  • แผนผังเว็บไซต์
ลงชื่อเข้าสู่ระบบ
ลงชื่อเข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมรหัสผ่าน
  • คำถามที่พบบ่อย
  • learning space
  • ระบบอบรมครู
  • ระบบการสอบออนไลน์
  • ระบบคลังความรู้
  • สสวท.
  • สำนักงานสลากกินแบ่ง
  • วีดิทัศน์
  • คลังภาพ
  • บทความ
  • โครงงาน
  • บทเรียน
  • แผนการสอน
  • E-Books
    • คู่มือครู
    • คู่มือการใช้หลักสูตร
    • ชุดสื่อ 60 พรรษา
    • E-Books อื่นๆ
  • Apps
ลงชื่อเข้าสู่ระบบ
ลงชื่อเข้าสู่ระบบ

  • คำถามที่พบบ่อย
  • สมัครสมาชิก
  • Forgot your password?
ค้นหา
    
ค้นหาบทเรียน
กลุ่มเป้าหมาย
ระดับชั้น
สาขาวิชา/กลุ่มสาระวิชา
การกรองเปลี่ยนแปลง โปรดคลิกที่ส่งเมื่อดำเนินการเสร็จ
เลือกหมวดหมู่
    
  • บทเรียนทั้งหมด
  • ฟิสิกส์
  • เคมี
  • ชีววิทยา
  • คณิตศาสตร์
  • เทคโนโลยี
  • โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ
  • วิทยาศาสตร์ทั่วไป
  • สะเต็มศึกษา
  • อื่น ๆ

ตารางธาตุ

โดย :
อนุสิษฐ์ เกื้อกูล
เมื่อ :
วันเสาร์, 27 พฤษภาคม 2560
Hits
53074
  • 1. Introduction
  • 2. บทเรียนที่ 2 รัศมีอะตอม
  • 3. บทเรียนที่ 3 พลังงานไอออไนเซชัน
  • 4. บทเรียนที่ 4 สารประกอบออกไซด์และคลอไรด์
  • 5. บทเรียนที่ 5 สมบัติของธาตุหมู่ IA
  • 6. บทเรียนที่ 6 สมบัติของธาตุหมู่ IIA
  • 7. บทเรียนที่ 7 สมบัติของธาตุหมู่ VIIA
  • 8. บทเรียนที่ 8 ตำแหน่งของธาตุไฮโดรเจน
  • 9. บทเรียนที่ 10 ธาตุกัมมันตรังสี(1)
  • 10. บทเรียนที่ 9 สมบัติของธาตุแทรนซิชัน
  • 11. บทเรียนที่ 11 ธาตุกัมมันตรังสี(2)
  • 12. บทเรียนที่ 12 สารประกอบเชิงซ้อนของธาตุแทรนซิชัน(1)
  • 13. บทเรียนที่ 13 ทบทวนตารางธาตุ
  • - All pages -

บทเรียนที่ 1 แนะนำตารางธาตุ

http://www.ptable.com/?lang=th


Return to contents

บทเรียนที่ 2 รัศมีอะตอม

ตารางธาตุ เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือของนักเคมีที่ช่วยจัดระเบียบของธาตุต่าง ๆ ที่ค้นพบ ทำให้เราจำสมบัติของธาตุได้ง่ายเนื่องจากสมบัติเหล่านั้นของธาตุในตารางธาตุมีแนวโน้มอย่างชัดเจน ดังนั้นถ้าเราทราบสมบัติของธาตุหนึ่ง เราก็สามารถทำนายสมบัติของธาตุอื่นได้ด้วย เช่น เราทราบว่าขนาดอะตอมของ Li เท่ากับ 152 พิโคเมตร แล้วขนาดอะตอมของ Be เป็นเท่าใด เราสามารถตอบอย่างคร่าว ๆ ว่า "ควรจะมีขนาดอะตอมน้อยกว่า 152 พิโคเมตร" เป็นต้น

ขนาดอะตอม (atomic size)

ความหมาย
ขนาดของอะตอม วัดจากระยะห่างระหว่างนิวเคลียสของอะตอมที่อยู่ติดกัน สำหรับธาตุที่อยู่ในลักษณะโมเลกุลอะตอมคู่ รัศมีอะตอมจะถือว่าเป็นครึ่งหนึ่งของระยะระหว่างนิวเคลียสของ 2 อะตอมในโมเลกุล

จากรูป ระยะห่างระหว่างอะตอมของคลอรีนเท่ากับ 99 พิโคเมตร ส่วนคาร์บอนเท่ากับ 77 พิโคเมตร


Return to contents

บทเรียนที่ 3 พลังงานไอออไนเซชัน

พลังงานไอออไนเซชัน (ionization energy) ความหมาย พลังงานไอออไนเซชัน คือ พลังงานที่ใช้ในการดึงอิเล็กตรอน 1 อนุภาค ออกจากอะตอมในสถานะแก๊ส กลายเป็นไอออนบวก

Li(g) Li+(g) + e-

- ธาตุที่มีอิเล็กตรอน 1 ตัว คือ ธาตุไฮโดรเจน(H)

H(g) H+(g) + e- IE=1,318 kJ/mol

ธาตุไฮโดรเจนมีพลังงานไอออไนเซชันเท่ากับ 1,318 กิโลจูลต่อโมล แสดงว่าเราต้องให้พลังงานแก่ธาตุไฮโดรเจน 1,318
กิโลจูลต่อโมล จึงจะทำให้อิเล็กตรอนหลุดออกมา

- ธาตุที่มีอิเล็กตรอนมากกว่า 1 ตัว เช่น ธาตุลิเทียม(Li)
Li(g) Li+(g) + e- IE1 = 520 kJ/mol
Li+(g) Li2+(g) + e- IE2 = 7,394 kJ/mol
Li2+(g) Li3+(g) + e- IE3 = 11,815 kJ/mol

จากการสังเกตจากค่าพลังงานไอออไนเซชันจะพบว่า IE1 คือพลังงานที่ให้แก่อะตอมเพื่อดึงอิเล็กตรอนที่อยู่วงนอกสุด(เวเลนซ์อิเล็กตรอน) มีค่าน้อยที่สุด เพราะอิเล็กตรอนที่อยู่ห่างจากนิวเคลียสหลุดออกได้ง่าย ไม่ต้องใช้พลังงานมากเพราะได้รับแรงดึงดูดจากนิวเคลียสน้อย แต่อิเล็กตรอนที่อยู่ใกล้นิวเคลียสจะถูกดึงดูดไว้เราต้องใช้พลังงานมาก เพื่อที่จะทำให้อิเล็กตรอนนั้นหลุดออกมา ดังนั้นค่า IE3 จึงมีค่ามากที่สุด

แนวโน้มพลังงานไอออไนเซชันของธาตุต่าง ๆ ในตารางธาตุ

- ธาตุในหมู่เดียวกัน พลังงานไอออไนเซชันลดลงจากบนลงล่าง เพราะระยะห่างระหว่างนิวเคลียสกับเวเลนซ์อิเล็กตรอนเพิ่มขึ้น ทำให้แรงดึงดูดระหว่างนิวเคลียสกับเวเลนซ์อิเล็กตรอนลดลง อิเล็กตรอนจึงหลุดจากอะตอมได้ง่าย เช่น ธาตุในหมู่ IA
พลังงานไอออไนเซชัน Li > Na > K > Rb > Cs > Fr

- ธาตุในคาบเดียวกัน พลังงานไอออไนเซชันเพิ่มขึ้นจากซ้ายไปขวา เพราะค่าประจุนิวเคลียสสุทธิมากขึ้น อะตอมขนาดเล็ก จึงมีแรงดึงดูดระหว่างนิวเคลียสกับเวเลนซ์อิเล็กตรอนมากขึ้น ทำให้อิเล็กตรอนหลุดยาก จึงต้องใช้พลังงานสูงในการดึงอิเล็กตรอนออกจากอะตอม เช่น ธาตุในคาบที่ 2 พลังงานไอออไนเซชัน Li < Be < B < C < N < O < F


Return to contents

บทเรียนที่ 4 สารประกอบออกไซด์และคลอไรด์

ตาราง แสดงสมบัติของสารประกอบคลอไรด์ของธาตุคาบที่ 2 และคาบที่ 3

ตาราง แสดงสมบัติของสารประกอบออกไซด์ของธาตุคาบที่ 2 และคาบที่ 3


Return to contents

บทเรียนที่ 5 สมบัติของธาตุหมู่ IA

หมู่ที่ 1 ธาตุหมู่ IA ชื่อหมู่โลหะแอลคาไล (alkali metal) ลิเทียม โซเดียม โพแทสเซียม รูบิเดียม ซีเซียม และแฟรนเซียม

สมบัติของโลหะอัลคาไลน์

 เป็นโลหะอ่อนสีเงิน ใช้มีดตัดได้

 ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ จึงต้องเก็บไว้ในน้ำมัน

 มีเวเลนซ์อิเล็กตรอน = 1

 ออกไซด์และไฮดรอกไซด์ของโลหะอัลคาไล ละลายน้ำได้สารละลาย
เบสแก่

Na + O2 ----> Na2O + H2O -----> NaOH + H2

 ทําปฏิกิริยากับ H2O รวดเร็วและรุนแรงได้สารละลายเบสกับก๊าซ H2

Na + H2O ------------------> NaOH + H2

 เมื่อเป็นไอออน จะมีประจุบวก เช่น Na+ , K+ เป็นต้น

 ขนาดอะตอมใหญ่ที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับธาตุในคาบเดียวกัน

 E° น้อยเป็นตัว Reduce ที่ดี

 เมื่อเป็นไอออน จะมีประจุบวก

 โลหะอัลคาไลทำปฏิกิริยากับอโลหะบางชนิดได้ผลึกเกลือสีขาว

ละลายน้ำได้

  • มีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวต่ำ มีความหนาแน่นต่ำเมื่อเทียบกับโลหะอื่นๆ
  • เมื่อเผาสารประกอบหมู่ 1A จะให้เปลวไฟสีต่าง ๆ

Li ได้เปลวไฟสีแดง

Na ได้เปลวไฟสีเหลือง

K ได้เปลวไฟสีม่วง


Return to contents

บทเรียนที่ 6 สมบัติของธาตุหมู่ IIA

สมบัติทั่วไปของธาตุหมู่ IIA

1. ธาตุหมู่ IIA มีความว่องไวต่อปฏิกิริยาและความเป็นโลหะน้อยกว่าธาตุหมู่ IA

2. มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ 2 เป็นโลหะเนื้อแข็งกว่าธาตุหมู่ IA สร้างพันธะโลหะได้แข็งกว่าธาตุหมู่ IA มีความหนาแน่นมากกว่าหมู่ IA เนื่องจากมีขนาดอะตอมเล็กกว่า

3. สารประกอบของธาตุหมู่ IIA เป็นสารประกอบไอออนิก ยกเว้น Be ที่สร้างพันธะโคเวเลนต์

4. มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูงกว่าธาตุหมู่ IA เนื่องจากมีขนาดอะตอมเล็กกว่าหมู่ IA และมีพันธะโลหะแข็งแรงกว่า

5. มีค่า IE1 ค่า EN และค่า EA สูงกว่าธาตุหมู่ IA เนื่องจากขนาดอะตอมเล็กกว่าจึงเกิดปฏิกิริยายากกว่า

6 .ไม่พบธาตุหมู่ IIA ที่เป็นอิสระในธรรมชาติ พบในรูปของสารประกอบ

ปฏิกิริยาของธาตุหมู่ IIA

1.ทำปฏิกิริยากับ H2O เกิดเป็นเบสและ H2 แต่ปฏิกิริยาไม่รุนแรง เช่น Mg + H2O -----> Mg(OH)2 + H2

2. ออกไซด์ของโลหะทำปฏิกิริยากับ H2O ได้สารละลายมีสมบัติเป็นเบส


Return to contents

บทเรียนที่ 7 สมบัติของธาตุหมู่ VIIA

ธาตุหมู่ VIIA

ธาตุหมู่ VIIA มีทั้งหมด 5 ธาตุ คือ ฟลูออรีน คลอรีน โบรมีนและแอสทาทีน สำหรับธาตุแอสทาทีนไม่มีในธรรมชาติ เป็นธาตุกัมมันตรังสีที่สังเคราะห์ ธาตุหมู่ VIIA มีชื่อว่า ธาตุแฮโลเจน เพราะสารประกอบของหมู่ VIIA จะเกิดเป็นเกลือที่มีรสเค็ม

ตาราง แสดงสมบัติบางประการของธาตุหมู่ VIIA

สมบัติ \ ธาตุ

F

Cl

Br

I

เลขอะตอม

9

17

35

53

การจัดเรียงอิเล็กตรอน

2,7

2, 8, 7

2, 8, 8, 7

2,8,18,8,7

รัศมีอะตอม (pm) *

71

99

144

133

IE1 (kJ/mol)

1687

1257

1146

1015

อิเล็กโทรเนกาติวิตี

4.0

3.0

2.8

2.5

อิเล็กตรอนอัฟฟินิตี(kJ/mol)

333

348

340

297

จุดหลอมเหลว (oC)

-220

-101

-7

114

จุดเดือด(oC)

-188

-34.5

59

184

ความหนาแน่น(g/cm3) **

1.51

1.56

3.12

4.93

สถานะปกติ

ก๊าซ

ก๊าซ

ของเหลว

ของแข็ง

หมายถึงรัศมีโคเวเลนต์
** ความหนาแน่นของ F2 , Cl2 ในสถานะของเหลว ถ้าเป็นก๊าซจะเท่ากับ 0.00170 และ 0.00312 g/cm3 ตามลำดับ

สรุปสมบัติทั่วๆ ไปของธาตุหมู่ VIIA ได้ดังนี้

1. เป็นอโลหะ มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ 7 สภาวะปกติ F2 และ Cl2 เป็นก๊าซ สีเหลืองอ่อนและเขียวอ่อนตามลำดับ Br2 เป็นของเหลวสีน้ำตาลแดง และ I2 เป็น ของแข็งสีม่วง ซึ่งสีของธาตุฮาโลเจนจะเข้มขึ้น เมื่อเลขอะตอมเพิ่มขึ้น ทุกตัวเป็นสารพิษ
2. ความเป็นโลหะจะเพิ่มขึ้น เมื่อเลขอะตอมเพิ่มขึ้น
3. ธาตุฮาโลเจนทุกตัวอยู่ในสภาพโมเลกุลอะตอมคู่ (diatomic molecule) ทุกสถานะทั้งของแข็ง ของเหลวและก๊าซ โดยยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะโคเวเลนต์
4. ไม่นำความร้อนและไฟฟ้าเพราะเป็นอโลหะ
5. อะตอมมีขนาดเล็ก เมื่อเปรียบเทียบกับธาตุในคาบเดียวกัน แต่มีขนาดใหญ่ขึ้น เมื่อเลขอะตอมเพิ่มขึ้น
6. ความหนาแน่นน้อย แต่ความหนาแน่นจะเพิ่มขึ้นเมื่อเลขอะตอมเพิ่มขึ้น
7. มีจุดหลอมเหลว จุดเดือดและความร้อนแฝงของการเกิดไอต่ำ เนื่องจากมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล (คือแรงวันเดอร์วาลส์) น้อย แต่จุดหลอมเหลว จุดเดือดและความร้อนแฝงของการเกิดไอเพิ่มขึ้น เมื่อเลขอะตอมเพิ่มขึ้น เพราะมีแรงวันเดอร์วาลส์เพิ่มขึ้น นอกจากนี้การระเหยของธาตุหมู่ VIIA จะค่อยๆ ลดลง เมื่อเลขอะตอมเพิ่มขึ้น เพราะแรงวันเดอร์วาลส์เพิ่มขึ้น
8. มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงที่สุด ในคาบเดียวกัน และค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีจะค่อยๆ ลดลงเมื่อเลขอะตอมเพิ่มขึ้น
9. มี IE1 ค่อนข้างสูง และค่า IE1 จะค่อยๆ ลดลงเมื่อเลขอะตอมเพิ่มขึ้น เนื่องจากขนาดอะตอมใหญ่ขึ้น
10. มีเลขออกซิเดชันได้หลายค่า เนื่องจากมี 7 เวเลนซ์อิเล็กตรอน ซึ่งสามารถจะให้หรือรับอิเล็กตรอนจากธาตุอื่น หรือใช้อิเล็กตรอนร่วมกับธาตุอื่นๆ ซึ่งมีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีต่างๆ กันได้ ทำให้มีเลขออกซิเดชันหลายค่า เช่น

ตัวอย่างของธาตุ
Cl มีเลขออกซิเดชันตั้วแต่ -1 ถึง +7

11. เกิดสารประกอบได้หลายชนิด เช่น NaCl CaF2 HF KI และยังเกิดสารประกอบ ที่มีธาตุองค์ประกอบชนิดเดียวกัน
ได้หลายชนิด เพราะมีเลขออกซิเดชันหลายค่า เช่น NaClO NaClO2 NaClO3 NaClO4 Cl2O ClO2 ClO3 และ Cl2O7 เป็นต้น
12. ธาตุหมู่ VIIA ละลายในน้ำได้เล็กน้อยและให้สีต่างๆ กัน เนื่องจากเป็นโมเลกุลไม่มีขั้ว จึงละลายได้ดีในตัวทำละลายอินทรีย์ เช่น ใน CCl4 >> Cl2 ใน CCl4 ไม่มีสี >>Br2 ใน CCl4 สีส้ม >> I2 ใน CCl4 สีม่วง
13. ธาตุที่อยู่ตอนบนของหมู่ สามารถทำปฏิกิริยากับสารประกอบแฮไลด์ของธาตุที่อยู่ตอนล่างได้ แต่ธาตุอยู่ตอนล่าง จะไม่ทำปฏิกิริยากับสารประกอบแฮไลด์ของธาตุที่อยู่ตอนบน จึงสรุปได้ว่า “ความสามารถในการทำปฏิกิริยาของธาตุหมู่ VIIA จะลดลงจากบนลงล่าง” ดังตาราง

จากข้อมูลในตาราง เมื่อเติมสารละลายคลอรีนใน CCl4 (ใสไม่มีสี) ลงในสารละลาย KBr สารละลายผสมจะแยกเป็น 2 ชั้นและในชั้นของ CCl4 ปรากฏเป็นสีส้ม แสดงว่ามี Br2 เกิดขึ้นและละลายอยู่ในชั้นของ CCl4 เขียนเป็นสมการได้ดังนี้

2Br- + Cl2 2Cl- + I2

ส่วนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เมื่อเติมสารละลายคลอรีนและโบรมีนใน CCl4 ลงในสารละลาย KI พบว่าในชั้นของ CCl4 มีสีชมพูแกมม่วง แสดงว่ามี I2 เกิดขึ้นและละลายอยู่ในชั้นของ CCl4 เขียนสมการแสดงปฏิกิริยาได้ดังนี้

2I- + Cl2 2Cl- + I2
2I- + Br2 2Br- + I2

แสดงว่าคลอรีนสามารถทำปฏิกิริยาได้กับทั้ง KBr และ KI โบรมีนทำปฏิกิริยาได้เฉพาะ KI ส่วนไอโอดีนไม่ทำปฏิกิริยากับทั้ง KCl KBr และ KI จากข้อมูลแสดงผลการทดลองในตาราง ช่วยให้สรุปได้ว่า คลอรีนมีความสามารถในการทำปฏิกิริยาได้ดีกว่าโบรมีนและโบรมีนทำปฏิกิริยาได้ดีกว่าไอโอดีน หรืออาจกล่าวได้ว่าความสามารถในการทำปฏิกิริยาของธาตุหมู่ VIIA ลดลงจากบนลงล่าง


Return to contents

บทเรียนที่ 8 ตำแหน่งของธาตุไฮโดรเจน

ตำแหน่งของธาตุไฮโดรเจนในตารางธาตุ

การจัดธาตุให้อยู่ในหมู่ใดของตารางธาตุจะใช้สมบัติที่คล้ายกันเป็นเกณฑ์ ในตารางธาตุปัจจุบันได้จัดให้ธาตุไฮโดรเจน
อยู่ในคาบที่ 1 ระหว่างหมู่ IA กับหมู่ VII A เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ให้ศึกษาสมบัติบางประการของธาตุไฮโดรเจน
เปรียบเทียบกับสมบัติของธาตุหมู่ IA และหมู่ VIIA จากตาราง

ตารางแสดงสมบัติบางประการของธาตุไฮโดรเจนกับธาตุหมู่ IA และหมู่ VIIA

สมบัติ ธาตุหมู่ IA ธาตุไฮโดรเจน ธาตุหมู่ VIIA
1. จำนวนเวเลนซ์อิเล็กตรอน 1 1 7
2. เลขออกซิเดชันในสารประกอบ +1 + 1 และ - 1 +1 +3 +5 +7 -1
3. ค่า IE1 (kJ/mol) 382 - 526 1318 1015 - 1687
4. สถานะ ของแข็ง ก๊าซ ก๊าซ / ของเหลว / ของแข็ง
5. การนำไฟฟ้า นำ ไม่นำ ไม่นำ

เมื่อพิจารณาข้อมูลจากตาราง พบว่าธาตุไฮโดรเจนมีสมบัติคล้ายคลึงกับธาตุหมู่ IA และ ธาตุหมู่ VII A จึงไม่จัดธาตุ

ไฮโดรเจนเข้ากับหมู่ IA หรือหมู่ VIIA ได้ คือ

1. มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ 1 เหมือน หมู่ I A แต่ขาดอีก 1 จะจัดเรียงอิเล็กตรอนเหมือนก๊าซเฉื่อย
2. ในสารประกอบทั่วไปมีเลขออกซิเดชันเป็น +1 เหมือนกับหมู่ I A แต่มีเลขออกซิเดชันเป็น –1 ในสารประกอบไฮไดรด์ เช่น LiH ทำให้ไฮโดรเจนมีเลขออกซิเดชันหลายค่าคล้าย หมู่ VIIA
3. ไฮโดรเจนมีสถานะเป็นของแข็งไม่นำไฟฟ้าเหมือนกับ หมู่ VII A
4. ไฮโดรเจนมีค่า IE1 และ EN สูงเหมือนกับธาตุหมู่ VIIA


Return to contents

บทเรียนที่ 10 ธาตุกัมมันตรังสี(1)

Antoine Henri Becquerel (1852-1908) ในปี พ.ศ. 2439 อองตวน อองรี แบกเกอเรล นักฟิสิกส์?ชาวฝรั่งเศส ซึ่งกำลังศึกษาการเรืองแสงของสารต่าง ๆ ได้พบว่าแผ่นฟิลม์ถ่ายรูปซึ่งเก็บไว้ในลิ้นชักที่มีเกลือโพแทสเซียมยูเรนิลซัลเฟต [K2UO2(SO4)2] อยู่ด้วย มีลักษณะเหมือนถูกแสง ทั้ง ๆ ที่ห่อไว้ด้วยกระดาษดำแล้วก็ตาม เขาจึงสรุปว่าสารประกอบของยูเรเนียมจะต้องเปล่งรังสีที่สามารถทะลุผ่านกระดาษดำ และยังสามารถทำให้สารที่รังสีนี้ผ่านเกิดเป็นไอออนได้ จึงเรียกยูเรเนียมและสารอื่น ๆ ที่ให้สมบัติเหมือนยูเรเนียมว่าสารกัมมันตรังสี

หลังจากนั้นไม่นาน ปิแอร์ กูรี (Pierre Curie : 1859 - 1906) และแมรี กูรี (Marie Curie : 186 - 1934) สองสามีภรรยาซึ่งศึกษาเกี่ยวกับธาตุกัมมันตรังสีได้พบว่ากัมมันตภาพรังสีจากสารประกอบไม่ขึ้นกับชนิดของสารประกอบ แต่ขึ้นอยู่กับปริมาณของยูเรเนียมเท่านั้น และได้ค้นพบว่า พอลโลเนียม (Po) เรเดียม (Ra) และทอเรียม (Th) สามารถแผ่รังสีได้


Return to contents

บทเรียนที่ 9 สมบัติของธาตุแทรนซิชัน

ธาตุแทรกซิชัน (transition element) หมายถึง ธาตุหมู่ B ที่อยู่ระหว่างหมู่ธาตุ IIA และ IIIA โดยธาตุแทรนซิชันมีอิเล็กตรอนบรรจุใน d หรือ f-ออร์บิทัลไม่เต็ม ได้แก่ ธาตุ d และกลุ่ม f ในตารางธาตุ ธาตุแทรนซิชันมีการแบ่งเป็นหมู่ได้ 8 หมู่เช่นเดียวกันธาตุ A เริ่มจากหมู่ IIIB, IVB, VB, VIB, VIIB, VIIIB, IB และ IIB ธาตุหมู่ IIB (Zn, Cd, Hg) มีอิเล็กตรอนบรรจุเต็มใน d-ออร์บิทัล
1. ธาตุแทรนซิชันหลัก (main transition) คือ ธาตุแทรนซิชันที่มีการบรรจุอิเล็กตรอนใน d-ออร์บิทัล
2. ธาตุแทรนซิชันชั้นใน (inner transition) คือ ธาตุแทรนซิชันที่มีการบรรจุอิเล็กตรอนที่ f-ออร์บิทัล

สมบัติของธาตุแทรนซิชัน

สมบัติของธาตุแทรนซิชันสรุปได้ดังนี้

1. มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ 2 ยกเว้นธาตุ Cr และ Cu มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ 1 โดยการบรรจุอิเล็กตรอนในสองระดับ พลังงานสุดท้ายควรเป็น 4s23d4 และ 4s23d9 ตามลำดับ แต่ปรากฏว่าเป็น 4s13d5 และ 4s13d10 เพราะการบรรจุอิเล็กตรอนแบบหลังจะทำให้อิเล็กตรอนใน s-ออร์บิทัลเป็นแบบการบรรจุครึ่ง ส่วนใน d-ออร์บิทัลของ Cr เป็นการบรรจุครึ่ง และในd-ออร์บิทัลของ Cu เป็นแบบการบรรจุเต็ม ซึ่งจะทำให้อะตอมมีความเสถียรมากกว่า
2. อิเล็กตรอนในระดับพลังงานหลัก (n) ถัดจากเวเลนซ์อิเล็กตรอนเข้าไป จะมีจำนวนไม่เท่ากัน
3. มีสมบัติเป็นโลหะ เป็นตัวนำไฟฟ้าและความร้อนที่ดี โดย Ag เป็นตัวนำความร้อนและไฟฟ้าที่ดีที่สุด ส่วน Fe, Co, Ni แสดงสมบัติเป็นแม่เหล็กได้ เมื่อวางไว้ในสนามแม่เหล็กเป็นเวลานาน
4.มีขนาดอะตอมใกล้เคียงกันตามคาบ
5.สารประกอบของธาตุแทรนซิชันมีสีเฉพาะตัว


Return to contents

บทเรียนที่ 11 ธาตุกัมมันตรังสี(2)

ในนิวเคลียสของธาตุประกอบด้วยโปรตอน ซึ่งมีประจุบวกและนิวตรอนซึ่งเป็นกลางทางไฟฟ้าสัดส่วนของจำนวนโปรตอนต่อจำนวนนิวตรอนไม่เหมาะสมจนทำให้ธาตุนั้นไม่เสถียร ธาตุนั้นจึงปล่อยรังสี ออกมากลายไปเป็นอะตอมของธาตุใหม่ที่มีความเสถียรมากขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

4.2 ธาตุกัมมันตรังสีในธรรมชาติ

4.3 การสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสี

ธาตุกัมมันตรังสีสามารถสลายตัวหรือแผ่รังสีได้เองอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา อัตราการแผ่รังสี เป็นสมบัติเฉพาะตัวและมีค่าคงที่ สำหรับธาตุกัมมันตรังสีแต่ละชนิด อัตราการแผ่รังสีจะไม่ขึ้นกับปัจจัยภายนอกใด ๆ ทั้งสิ้น เช่น ปริมาณตั้งต้นของสารกัมมันตรังสี อุณหภูมิ และความดัน
ซึ่งแตกต่างจากอัตราการเกิดปฏิกิริยาของสารเคมีทั่วไป แต่จะขึ้นอยู่กับชนิดไอโซโทปโดยทั่วไปรังสีที่ธาตุกัมมันตรังสีปล่อยออกมา ที่ควรทราบมี 3 ชนิด คือ รังสีแอลฟา รังสีบีตาและรังสีแกมมา


Return to contents

บทเรียนที่ 12 สารประกอบเชิงซ้อนของธาตุแทรนซิชัน(1)

Werner's Theory of Coordination Complexes

อัลเฟรด เวอร์เนอร์ (Alfred Werner) ได้พัฒนาแบบจำลองของสารเชิงซ้อน (coordination complexs) ซึ่งอธิบายข้อสังเกตต่อไปนี้

  • ข้อแตกต่างอย่างน้อยที่สุด 3 ชนิดของ cobalt (III) complexes สามารถถูกแยกออกมาเมื่อ CoCl2 ละลายในสารละลายแอมโมเนีย แล้วถูกออกซิไดซ์โดยอากาศจนมีเลขออกซิเดชันเป็น +3 สารเชิงซ้อนที่ลำดับที่ 4 สามารถทำได้โดยมีเทคนิคที่แตกต่างเล็กน้อย สารเชิงซ้อนเหล่านี้มีสีแตกต่างกัน และมีสูตรเอมพิริคัลแตกต่างกันด้วย
CoCl3 · 6 NH3   ส้ม-เหลือง
CoCl3 · 5 NH3 ·H2O   แดง
CoCl3 · 5 NH3   ม่วง
CoCl3 · 4 NH3   เขียว
  • ความสามารถในการเกิดปฏิกิริยาของแอมโมเนียในสารเชิงซ้อนก็คือจะถูกรีดิวส์อย่างรุนแรง แอมโมเนียจะเกิดปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วกับกรดไฮโดรคลอริก (HCl) แล้วเกิดเป็นแอมโมเนียมคลอไรด์ (NH4Cl) ดังสมการ

NH3(aq) + HCl(aq)------> NH4+(aq) + Cl-(aq)

สารเชิงซ้อนเหล่านี้ไม่เกิดปฏิกิริยากับกรดไฮโดรคลอริก แม้จะมีอุณหภูมิสูงถึง 100oC

CoCl3 · 6 NH3(aq) + HCl(aq)-----//-->  
  • สารละลายของคลอไรด์ไอออน (Cl-) เกิดปฏิกิริยากับซิลเวอร์ไอออน (Ag+) แล้วเกิดตะกอนของ AgCl

Ag+(aq) + Cl-(aq) -------> AgCl(s)

เมื่อเติม Ag+ ส่วนที่เกินเติมลงในสารละลาย CoCl3 · 6 NH3 และ CoCl3 · 5 NH3 · H2O ซึ่งเป็นสารเชิงซ้อน AgCl 3 โมลจะสร้างไอออนเชิงซ้อนในสารละลาย อย่างไรก็ตาม Cl- จำนวน 2 ไอออนเท่านั้นใน CoCl3 · 5 NH3 และ Cl- เพียงหนึ่งไอออนเท่านั้นใน CoCl3 · 4 NH3 ที่สามารถเกิดตะกอนกับ Ag+

  • การวัดความสามารถในการนำไฟฟ้าของสารละลายสารเชิงซ้อนที่มีน้ำเป็นตัวทำละลาย แนะนำว่า CoCl3 · 6 NH3 และ CoCl3 · 5 NH3 · H2O แตกตัวในน้ำแล้วให้ไอออนรวม 4 ไอออน CoCl3 · 5 NH3 แตกตัวให้ไอออน 3 ไอออน และ CoCl3 · 4 NH3 แตกตัวให้เพียง 2 ไอออนเท่านั้น

เวอร์เนอร์อธิบายข้อสังเกตข้างต้นโดยแนะนำว่าไอออนของโลหะแทรนซิชัน เช่น Co3+ เวเลนซ์ปฐมภูมิ และเวเลนซ์ทุติยภูมิ (primary valence และ secondary valence)

เวเลนซ์อิเล็กตรอนปฐมภูมิหมายถึงจำนวนไอออนลบที่ต้องการประจุของโลหะไอออน ในไอออนเชิงซ้อนแต่ละไอออนของ cobalt (III) complexes ย้อนกลับไปอธิบายได้ว่า Cl- 3 ไอออนต้องการเวเลนซ์อิเล็กตรอนปฐมภูมิของ Co3+

เวเลนซอิเล็กตรอนทุติยภูมิหมายถึงจำนวนไอออนของโมเลกุลที่เกิดพันธะโคออร์ดิเนตกับไอออนของโลหะ เวอร์เนอร์สันนิษฐานว่าเวเลนซ์อิเล็กตรอนทุติยภูมิของโลหะแทรนซิชันในไอออนเชิงซ้อนของ cobalt (III) คือ 6 ดังนั้นสูตรของสารประกอบจึงสามารถเขียนได้ดังนี้

[Co(NH3)63+][Cl-]3   ส้ม-เหลือง
[Co(NH3)5(H2O)3+][Cl-]3   แดง
[Co(NH3)5Cl2+][Cl-]2   ม่วง
[Co(NH3)4Cl2+][Cl-]   เขียว

ไอออนของโคบอลต์ไอออนเชิงซ้อนเกิดพันธะโคออร์ดิเนตกับลิแกนด์ 6 ลิแกนด์ ซึ่งเหมาะสมกับเวเลนซ์ปฐมภูมิ Cl- บางไอออนมีอิสระที่จะแตกตัวเมื่อสารเชิงซ้อนละลายในน้ำ แต่บางไอออนจะล้อมรอบ Co3+ ซึ่งจะไม่แตกตัวและไม่เกิดปฏิกิริยากับ Ag+

สารเชิงซ้อน [Co(NH3)6]Cl3 แตกตัวได้ในน้ำ แล้วได้ไอออนรวม 4 ไอออน และมี Cl- อิสระที่จะเกิดปฏิกิริยากับ Ag+ ดังสมการ

 

H2O

 

[Co(NH3)6]Cl3(s)

--->

Co(NH3)63+(aq) + 3 Cl-(aq)

Cl- จำนวน 1 ไอออนอยู่ล้อมรอบโคบอลต์เป็นสารเชิงซ้อน [Co(NH3)5Cl]Cl2 โดยมี 3 ไอออนที่ในโมเลกุล เมื่อสารเชิงซ้อนละลายในน้ำ และเพียง 2 ไอออนเท่านั้นที่จะเกิดตะกอนกับ Ag+

 

H2O

 
[Co(NH3)5Cl][Cl]2(s) ---> Co(NH3)5Cl2+(aq) + 2 Cl-(aq)

อีกประการหนึ่ง Cl- 3 ไอออนมีอิสระที่จะแตกตัวเมื่อ [Co(NH3)5(H2O)]Cl3 ละลายในน้ำ และจะเกิดตะกอนเมื่อเติม Ag+ ลงในสารละลาย

 

H2O

 
[Co(NH3)5(H2O)]Cl3(s) ----> Co(NH3)5(H2O)3+(aq) + 3 Cl-(aq)

Cl- 2 ไอออนจะอยู่ล้อมรอบ Co ใน [Co(NH3)4Cl2]Cl มีเพียง 2 ไอออนที่จะสร้างไอออนเชิงซ้อนเมื่อสารนี้ละลายในน้ำ และมีเพียง 1 ไอออนที่มิสระที่จะเกิดปฏิกิริยากับ Ag+

 

H2O

 
[Co(NH3)4Cl2][Cl](s) ------> Co(NH3)4Cl2+(aq) + Cl-(aq)

เวอร์เนอร์สรุปว่าไอออนเชิงซ้อนของโลหะแทรนซิชันสามารถหนดรูปร่างตามทฤษฎีที่เขาสร้างขึ้น โดยมีลิแกนด์จำนวน 6 ลิแกนด์สร้างพันธะโคออร์ดิเนต ดังแสดงในภาพต่อไปนี้


Return to contents

บทเรียนที่ 13 ทบทวนตารางธาตุ

ตารางธาตุ (Periodic table of elements)

ตารางธาตุ (Periodic table of elements) คือ ตารางที่นักวิทยาศาสตร์ได้รวบรวมธาตุต่างๆ ไว้เป็นหมวดหมู่ตามลักษณะ และคุณสมบัติที่เหมือนกัน เพื่อเป็นประโยชน์ในการศึกษาในแต่ละส่วนของตารางธาตุ โดยคาบ ( Period ) เป็นการจัดแถวของธาตุแนวราบ ส่วนหมู่ ( Group ) เป็นการจัดแถวของธาตุในแนวดิ่ง ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

ภาพตารางธาตุปัจจุบัน

  1. ธาตุหมู่หลัก มีทั้งหมด 8 หมู่ 7 คาบ โดยธาตุที่อยู่ด้านซ้ายของเส้นขั้นบันได จะเป็นโลหะ (Metal) ส่วนทางด้านขวาเป็นอโลหะ (Non metal) ส่วนธาตุที่อยู่ติดกับเส้นขั้นบันไดนั้น จะเป็นกึ่งโลหะ (Metalloid)
  2. ธาตุทรานซิชัน มีทั้งหมด 8 หมู่ แต่หมู่ 8 มีทั้งหมด 3 หมู่ย่อย จึงมีธาตุต่างๆ รวม 10 หมู่ และมีทั้งหมด 4 คาบ
    ธาตุอินเนอร์ทรานซิชัน มี 2คาบโดยมีชื่อเฉพาะเรียกคาบแรกว่าคาบแลนทาไนด์
  3. (Lanthanide series) และเรียกคาบที่สองว่า คาบแอกทิไนด์ (Actinide series) เพราะเป็นคาบที่อยู่ต่อมาจาก 57La (Lanthanum) และ 89Ac (Actinium) ตามลำดับ คาบละ 14 ตัวรวมเป็น 28 ตัว

การจัดเรียงธาตุลงในตารางธาตุ

เมื่อทราบการจัดเรียงอิเล็กตรอนของธาตุต่างๆ แล้ว จะเห็นว่าสามารถจัดกลุ่มธาตุได้ง่ายขึ้น โดยธาตุที่มีระดับพลังงานเท่ากัน ก็จะถูกจัดอยู่ในคาบเดียวกัน ส่วนธาตุที่มีจำนวนอิเล็กตรอนในระดับพลังงานนอกสุดเท่ากัน ก็จะถูกจัดอยู่ในหมู่เดียวกัน ดังภาพ

ภาพการจัดเรียงธาตุลงในตารางธาตุ

ประเภทของธาตุในตารางธาตุ

ธาตุโลหะ (metal) โลหะทรานซิชันเป็นต้นฉบับของโลหะ ธาตุโลหะเป็นธาตุที่มีสถานะเป็นของแข็ง ( ยกเว้นปรอท ที่เป็นของเหลว) มีผิวที่มันวาว นำความร้อน และไฟฟ้าได้ดี มีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวสูง ( ช่วงอุณหภูมิระหว่างจุดหลอมเหลวกับจุดเดือดจะต่างกันมาก) ได้แก่ โซเดียม (Na) เหล็ก (Fe) แคลเซียม (Ca) ปรอท (Hg) อะลูมิเนียม (Al) แมกนีเซียม (Mg) สังกะสี (Zn) ดีบุก (Sn) เป็นต้น

ธาตุอโลหะ ( Non metal ) มีได้ทั้งสามสถานะ สมบัติส่วนใหญ่จะตรงข้ามกับอโลหะ เช่น ผิวไม่มันวาว ไม่นำไฟฟ้า ไม่นำความร้อน จุดเดือดและจุดหลอมเหลวต่ำ เป็นต้น ได้แก่ คาร์บอน( C ) ฟอสฟอรัส (P) กำมะถัน (S) โบรมีน (Br) ออกซิเจน (O 2) คลอรีน (Cl 2) ฟลูออรีน (F 2) เป็นต้น

ธาตุกึ่งโลหะ (metalloid) เป็นธาตุกึ่งตัวนำ คือ มันจะสามารถนำไฟฟ้าได้เฉพาะในภาวะหนึ่งเท่านั้น ธาตุกึ่งโลหะเหล่านี้จะอยู่บริเวณเส้นขั้นบันได ได้แก่ โบรอน (B) ซิลิคอน ( Si) เป็นต้น

ธาตุกัมมันตรังสี เป็นธาตุที่มีส่วนประกอบของ นิวตรอน กับโปรตอน ไม่เหมาะสม (>1.5) ธาตุที่ 83ขึ้นไปเป็นธาตุกัมมันตภาพรังสีทุกไอโซโทปมีครึ่งชีวิต

สมบัติของธาตุในแต่ละหมู่

ธาตุหมู่ I A หรือโลหะอัลคาไล (alkaline metal)

- โลหะอัลคาไล ได้แก่ ลิเทียม โซเดียม โพแทสเซียม รูบิเดียม ซีเซียม และแฟรนเซียม
- เป็นโลหะอ่อน ใช้มีดตัดได้
- เป็นหมู่โลหะมีความว่องไวต่อการเกิดปฏิกิริยามากที่สุด สามารถทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ จึงต้องเก็บไว้ในน้ำมัน
- ออกไซด์และไฮดรอกไซด์ของโลหะอัลคาไลละลายน้ำได้สารละลายเบสแก่
- เมื่อเป็นไอออน จะมีประจุบวก
- มีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวต่ำ มีความหนาแน่นต่ำเมื่อเทียบกับโลหะอื่นๆ
- มีเวเลนซ์อิเล็กตรอน = 1

ธาตุหมู่ II A หรือโลหะอัลคาไลน์เอิร์ธ (alkaline earth)

- โลหะอัลคาไลน์เอิร์ธ ได้แก่ เบริลเลียม แมกนีเซียม แคลเซียม สตรอนเชียม แบเรียม เรเดียม
- มีความว่องไวต่อการเกิดปฏิกิริยามาก แต่น้อยกว่าโลหะอัลคาไล
- ทำปฏิกิริยากับน้ำได้สารละลายเบส สารประกอบโลหะอัลคาไลน์เอิร์ธพบมากในธรรมชาติ
- โลหะอัลคาไลน์เอิร์ธมีความว่องไวแต่ยังน้อยกว่าโลหะอัลคาไล
- โลหะอัลคาไลน์เอิร์ธมีเวเลนซ์อิเล็กตรอน = 2

ธาตุหมู่ III
- ธาตุหมู่ III ได้แก่ B Al Ga In Tl
- มีเวเลนซ์อิเล็กตรอน = 3

ธาตุหมู่ IV
- ธาตุหมู่ IV ได้แก่ C Si Ge Sn Pb
- มีเวเลนซ์อิเล็กตรอน = 4

ธาตุหมู่ V
- ธาตุหมู่ V ได้แก่ N P As Sb Bi
- มีเวเลนซ์อิเล็กตรอน = 5

ธาตุหมู่ VI
- ธาตุหมู่ VI ได้แก่ O S Se Te Po
- มีเวเลนซ์อิเล็กตรอน = 6

ธาตุหมู่ VII หรือหมู่แฮโลเจน (Halogen group)

- หมู่ธาตุแฮโลเจน ได้แก่ ฟลูออรีน คลอรีน โบรมีน ไอโอดีน และแอสทาทีน
- เป็นหมู่อโลหะที่ว่องไวต่อการเกิดปฏิกิริยามากที่สุด (F ว่องไวต่อการเกิดปฏิกิริยามากที่สุด)
- เป็นธาตุที่มีพิษทุกธาตุและมีกลิ่นแรง
- โมเลกุลของธาตุแฮโลเจนประกอบด้วย 2 อะตอม (Cl 2 Br 2 I 2)
- แฮโลเจนไอออนมีประจุบลบหนึ่ง (F - C - Br - I - At -)

ธาตุหมู่ VIII หรือก๊าซเฉื่อย หรือก๊าซมีตระกูล (Inert gas )

- ก๊าซมีตระกูล ได้แก่ ฮีเลียม นีออน อาร์กอน คริปทอน ซีนอน และเรดอน
- มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเต็ม 8 อิเล็กตรอน จึงทำให้เป็นก๊าซที่ไม่ว่องไวต่อการเกิดปฏิกิริยา
- ก๊าซมีตระกูลอยู่เป็นอะตอมเดี่ยว แต่ยกเว้น Kr กับ Xe ที่สามารถสร้างพันธะได้

ขนาดอะตอมของธาตุ

หน่วยพิโกเมตร

ขนาดอะตอมของธาตุต่างๆ

ขนาดของอะตอมนั้นถ้าจะพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อขนาดของอะตอมนั้น อาจแบ่งแยกออกได้เป็นข้อ เรียงตามลำดับความสำคัญได้ดังนี้

1. จำนวนระดับพลังงาน
2. จำนวนโปรตอน
3. จำนวนอิเล็กตรอน

ขนาดไอออนของธาตุ

กล่องข้อความ: อะตอมของธาตุนั้น สามารถเกิดเป็นอิออนได้  เมื่อธาตุใดๆ เกิดเป็นอิออนแล้ว นอกจากจะทำให้มีประจุไฟฟ้าแล้ว ยังส่งผลให้ขนาดของอะตอมของธาตุนั้นๆ เปลี่ยนแปลงไปอีกด้วย โดยปกติประจุบวกจะมีขนาดอะตอมเล็กกว่าอะตอมเดิม เนื่องจากโปรตอนสามารถดึงอิเล็กตรอนได้มากขึ้น ส่วนประจุลบจะมีขนาดใหญ่กว่าอะตอมเดิม เนื่องจากโปรตอนดึงอิเล็กตรอนได้น้อยลง ดังแผนภาพ............................
หน่วยพิโกเมตร

สมบัติอื่นๆ ของธาตุ

พลังงานไอโอไนเซชัน (Ionization Energy : IE) หมายถึง พลังงานปริมาณน้อยที่สุด ที่ทำให้อิเล็กตรอนหลุดจากอะตอม ในสถานะก๊าซ เช่น

ธาตุที่มีอิเล็กตรอนมากกว่า 1 ตัว เช่น ธาตุลิเทียม(Li)
Li(g) Li +(g) + e - IE 1 = 520 kJ/mol
Li +(g) Li 2+(g) + e - IE 2 = 7,394 kJ/mol
Li 2+(g) Li 3+(g) + e - IE 3 = 11,815 kJ/mol

จากการสังเกตจากค่าพลังงานไอออไนเซชันจะพบว่า IE 1 คือพลังงานที่ให้แก่อะตอมเพื่อดึงอิเล็กตรอนที่อยู่วงนอกสุดมีค่าน้อยที่สุด เพราะอิเล็กตรอนที่อยู่ห่างจากนิวเคลียสหลุดออกได้ง่าย

อิเล็กโทรเนกาติวิตี (Electronegativity : EN) หมายถึง ความสามารถในการดึงดูดอิเล็กตรอนในพันธะเข้ามาหาตัวเอง

Na + -------> Cl -

จากภาพจะเห็นว่า อะตอมของ Cl มีความสามารถในการดึงดูดอิเล็กตรอนเข้าหาตัวเองได้ดีกว่า Na แสดงว่า Cl มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงกว่า Na

สัมพรรคภาพอิเล็กตรอน ( Electron Affinity : EA ) คือ พลังงานที่อะตอมในสถานะก๊าซคายออกมาเมื่อได้รับอิเล็กตรอน สมการเป็นดังนี้

F(g) + e - Li -(g) + พลังงาน EA = -333 kJ/mol

กล่องข้อความ: ลักษณะสำคัญของธาตุภายใ นหมู่เดียวกัน    ธาตุซึ่งอยู่ภายในหมู่เดียวกันมีลักษณะสำคัญ  ดังนี้        	1. ธาตุที่อยู่ในหมู่เดียวกันมีจำนวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากัน  จึงทำให้มีสมบัติคล้ายกัน  เช่น ธาตุลิเทียม (3Li มีการจัดอิเล็กตรอนเป็น 2,1) และธาตุโซเดียม (11Na มีการจัดอิเล็กตรอนเป็น 2,8,1) ต่างก็มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ 1  ทั้งสองธาตุจึงมีคุณสมบัติคล้ายกัน  เป็นต้น        	2. ธาตุในหมู่ย่อย A (I A - VIII A) ยกเว้นธาตุแทรนซิชัน มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับเลขที่ของหมู่ เช่น ธาตุในหมู่ I จะมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ 1 ธาตุในหมู่ II จะมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ 2 เป็นต้น        	3. ธาตุแทรนซิชันส่วนใหญ่มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ 2 ยกเว้นบางธาตุ เช่น Cr Cu เป็นต้น มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ 1        	4. ธาตุในหมู่เดียวกันจะมีจำนวนระดับพลังงานไม่เท่ากัน โดยมีระดับพลังงานเพิ่มขึ้นจากบนลงล่าง เช่น 3Li 11Na 19K 37Rb 55Cs เป็นธาตุที่อยู่ในหมู่ที่ 1 จากบนลงล่าง  มีจำนวนระดับพลังงานเท่ากับ 2 3 4 5 และ 6 ตามลำดับ        	5. ธาตุในหมู่เดียวกันจากบนลงล่าง  (จากคาบที่ 1 ถึงคาบที่ 7) จำนวนอิเล็กตรอนหรือจำนวนโปรตอนหรือเลขอะตอมจะเพิ่มขึ้นดังนี้ 2, 8, 8, 18, 18, 32 ตามลำดับ เช่น ธาตุ หมู่ 1   H(Z=1)  Li(Z=3)  Na(Z=11)  K(Z=19)  Rb(Z=37)  Cs(Z=55)  Fr(Z=87)

กล่องข้อความ: ลักษณะสำคัญของธาตุภายในคาบเดียวกัน    ธาตุซึ่งอยู่ภายในคาบเดียวกันมีลักษณะสำคัญ  ดังนี้        	1. ธาตุในคาบเดียวกันมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนไม่เท่ากัน  โดยมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเพิ่มขึ้นจากซ้ายไปขวา  ดังนั้น ธาตุในคาบเดียวกันจึงมีสมบัติต่างกัน  ยกเว้นธาตุแทรนซิชันซึ่งส่วนใหญ่มีจำนวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ 2 เท่ากัน  จึงมีคุณสมบัติคล้ายกันทั้งในหมู่และในคาบเดียวกัน        	2. ธาตุในคาบเดียวกันมีจำนวนระดับพลังงานเท่ากัน  และเท่ากับเลขที่ของคาบ เช่น ธาตุในคาบที่ 2 ทุกธาตุ (Li ถึง Ne) ต่างก็มีจำนวนระดับพลังงานเท่ากับ 2 คือชั้น K (n=1) และชั้น L (n=2) เป็นต้น

การแบ่งกลุ่มย่อยตามสมบัติของ 20 ธาตุแรก

แผนภาพสรุปแนวโน้มสมบัติของธาตุในตารางธาตุ


Return to contents
Previous Page 1 / 13 Next Page
หัวเรื่อง และคำสำคัญ
ตารางธาตุ,การจัดเรียงธาตุ,รูปแบบของตารางธาตุ
ประเภท
Text
รูปแบบการนำเสนอ แบ่งตามผลผลิต สสวท.
สื่อสิ่งพิมพ์ในรูปแบบดิจิทัล
ลิขสิทธิ์
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)
วันที่เสร็จ
วันเสาร์, 27 พฤษภาคม 2560
ผู้แต่ง หรือ เจ้าของผลงาน
อนุสิษฐ์ เกื้อกูล
สาขาวิชา/กลุ่มสาระวิชา
เคมี
ระดับชั้น
ม.4
ม.5
ม.6
ช่วงชั้น
มัธยมศึกษาตอนปลาย
กลุ่มเป้าหมาย
ครู
นักเรียน
  • 7076 ตารางธาตุ /lesson-chemistry/item/7076-2017-05-27-14-52-36
    เพิ่มในรายการโปรด
  • ให้คะแนน
    Average rating
    • 1
    • 2
    • 3
    • 4
    • 5
    • Share
    • Tweet
    • Share

ค้นหาบทเรียน
กลุ่มเป้าหมาย
ระดับชั้น
สาขาวิชา/กลุ่มสาระวิชา
การกรองเปลี่ยนแปลง โปรดคลิกที่ส่งเมื่อดำเนินการเสร็จ
  • บทเรียนทั้งหมด
  • ฟิสิกส์
  • เคมี
  • ชีววิทยา
  • คณิตศาสตร์
  • เทคโนโลยี
  • โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ
  • วิทยาศาสตร์ทั่วไป
  • สะเต็มศึกษา
  • อื่น ๆ
  • เกี่ยวกับ SciMath
  • ติดต่อเรา
  • สรุปข้อมูล
  • แผนผังเว็บไซต์
  • คำถามที่พบบ่อย
Scimath คลังความรู้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) กระทรวงศึกษาธิการ เป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่แสวงหากำไร ได้จัดทำเว็บไซต์คลังความรู้ SciMath เพื่อส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีทุกระดับการศึกษา โดยเน้นการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นหลัก หากท่านพบว่ามีข้อมูลหรือเนื้อหาใด ๆ ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ โปรดแจ้งให้ทราบเพื่อดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุด

The Institute for the Promotion of Teaching Science and Technology (IPST), Ministry of Education, a non-profit organization under the Thai government, developed SciMath as a website that provides educational resources in Science, Mathematics and Technology. IPST invites visitors to use its online resources for personal, educational and other non-commercial purpose. If there are any problems, please contact us immediately.

Copyright © 2018 SCIMATH :: คลังความรู้ SciMath. Terms and Conditions. Privacy. , All Rights Reserved. 
อีเมล: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. (ให้บริการในวันและเวลาราชการเท่านั้น)