
ภูหลวงมีความหมายว่าภูเขาที่ยิ่งใหญ่ หรือหมายถึงภูเขาของพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งนับเป็นสิริมงคลนามที่บรรพบุรุษได้ตั้งชื่อไว้ ภูหลวงเกิดจากการยกตัวของพื้นผิวโลก และดินส่วนที่อ่อนถูกพัดพาลงสู่พื้นที่ส่วนต่ำ คงเหลือหินซึ่งเป็นโครงสร้างที่แข็งไว้เป็นภูเขา
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวงได้ รับการจัดตั้งเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 91 ตอนที่ 216 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2517 มีเนื้อที่ประมาณ 848 ตารางกิโลเมตรหรือ ประมาณ 530,000 ไร่ ตั้งอยู่ในท้องที่วังสะพุง อำเภอภูเรือ อำเภอด่านซ้าย อำเภอภูหลวง จังหวัดเลย
ต่อมาในปี พ.ศ.2534 ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นมาใหม่ซึ่งเรียกว่า “พระราชกฤษฎีกา กำหนดบริเวณที่ดินป่าภูหลวง ในท้องที่ตำบลปลาบ่า ตำบลท่าศาลา อำเภอภูเรือ ตำบลโพนสูง ตำบลวังยาว ตำบลอีปุ่ม อำเภอด่านซ้าย ตำบลหนองงิ้ว ตำบลเขาหลวง ตำบลทรายขาว อำเภอวังสะพุงและตำบลภูหอ อำเภอภูหลวง จังหวัดเลย และได้มีการกำหนดให้บริเวณที่ดินป่าภูหลวง ในท้องที่ตำบลปลาบ่า ตำบลท่าศาลา อำเภอภูเรือ ตำบลโพนสูง ตำบลวังยาว ตำบลอีปุ่ม อำเภอด่านซ้าย ตำบลหนองงิ้ว ตำบลเขาหลวง ตำบลทราบขาว อำเภอวังสะพุง และตำบลภูหอ ตำบลเลยวังไสย์ อำเภอภูหลวง จังหวัดเลย เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง
กลับไปที่เนื้อหา
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวงตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอวังสะพุง อำเภอภูเรือ อำเภอด่านซ้าย และ อำเภอภูหลวง จังหวัดเลย มีเนื้อที่ประมาณ 897 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 560,593 ไร่



ภูหลวง มีลักษณะเป็นเทือกเขายอดตัดขนาดใหญ่ แนวเขตของภูหลวง เริ่มจากที่ระดับความสูง ๔๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ยอดเขาที่สูงที่สุดคือยอดภูขวางสูง ๑,๕๗๑ เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง เทือกเขาทางด้านซีกตะวันออกมีลักษณะเป็นเขายอดตัดลูกใหญ่ มีที่ราบบนหลังเขาเนื้อที่ประมาณ ๑๐๐ ตารางกิโลเมตร ระดับความสูงประมาณ ๑,๒๐๐ - ๑,๕๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลางและมีหน้าผาสูงชัน ส่วนเทือกเขาทางด้านตะวันตกเป็นภูเขาเล็กๆตั้งสลับซับซ้อนเป็นลูกคลื่น ที่ระดับความสูง ๖๐๐ - ๘๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง และเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำป่าสักและแม่น้ำเลย
กลับไปที่เนื้อหา



ถ้าเริ่มเดินทางจากตัวจังหวัดเลย ไปตามเส้นทางสายเลย-ภูเรือ ระยะทางประมาณ 36 กิโลเมตร ก็จะถึงถึงบ้านสานตม แล้วแยกซ้ายที่บ้านสานตมไปอีก 18 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง และจากที่ทำการเขต ต้องเดินทางขึ้นไปบนภูหลวงตามเส้นทางเลียบไหล่เขาอีกประมาณ 7 กิโลเมตร ก็จะถึงหน่วยพิทักษ์ป่า โคกนกกระบา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการศึกษาสิ่งต่าง ๆ บนภูหลวง
วิดีทัศน์ เรื่อง เส้นทางสู่ภูหลวง จ.เลย
กลับไปที่เนื้อหา


ภูหลวง หมายถึง เขาที่สูงใหญ่หรือภูเขาของพระเจ้าแผ่นดิน เกิดจากการยกตัวของ พื้นผิวโลก เมื่อเวลามากกว่า 120 ล้านปีมาแล้ว และกระบวนการกร่อนรวมทั้งการพัดพา ทำให้ดินส่วนที่อ่อนถูกพัดพาลงสู่พื้นที่ส่วนต่ำ ผลจากการยกตัวทำให้ภูหลวงมีลักษณะเป็นเขายอดตัด มีที่ราบบนยอดเขาคิดเป็นพื้นที่ถึงประมาณ 100 ตารางกิโลเมตร และเชื่อว่า การยกตัวของเปลือกโลกบริเวณนี้ ทำให้สัตว์ดึกดำบรรพ์ เช่น ไดโนเสาว์ติดขึ้นมาที่ยอดของภูหลวงด้วย เพราะมีการค้นพบรอยตีนของไดโนเสาว์ขนาดใหญ่บนยอดของภูหลว
วิดีทัศน์ เรื่อง ลักษณะของภูหลวง
การที่ภูหลวงเป็นภูเขาสูงถึง 1,450 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ มีความชื้นสูง ทำให้ภูหลวง เป็นแหล่งที่มีพืชพรรณไม้ในที่สูงที่อุดมสมบูรณ์มาก มีกล้วยไม้ป่ามากกว่า 160 ชนิด มีพืชพรรณไม้ที่หายากหรือมีที่ภูหลวง เพียงแห่งเดียวหรือพืชพรรณไม้ที่ไม่ค่อยจะพบเห็น มีทั้งทุ่งดอกไม้ป่าที่สมบูรณ์และสวยงาม เช่น ทุ่งกุหลาบแดง ทุ่งกุหลาบขาว มีพืชพรรณแตกต่างกันไปตามระดับความสูง ประกอบด้วยป่าชนิดต่างๆเช่น ป่าดิบเขา ป่าไม้พุ่ม ป่าดิบแล้ง ป่าสนเขา เป็นต้น
นอกจากพืชพรรณต่างๆ ภูหลวงยังมีสัตว์ป่าอาศัยนอยู่หลายชนิด ทั้ง ช้าง เลียงผา หมาไน เก้ง กวาง หมีควาย ชะนีมือขาว ไก่ฟ้าหลังขาว นกมุ่นรกคอแดง นกปากแก้วหางสั้น เต่าปูลู ปาดตะปุ่ม ปูเจ้าพ่อหลวงหรือปูหินและปลาอีกหลายชนิด
ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณ์และสัตว์ป่า พื้นที่ภูหลวงจึงถูกกำหนดให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเมื่อวันที่ 18ธันวาคม พ.ศ. 2517 มีเนื้อที่ประมาณ 848 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 530,000 ไร่ และ เมื่อ วันที่ 16 สิงหาคม 2534 ได้มีการกำหนดพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวงขึ้นใหม่ เนื่องจากมีการผนวกพื้นที่เพิ่มเติมและเพิกถอนพื้นที่บางส่วน ทำให้มีเนื้อที่เพิ่มเป็นประมาณ 897 ตารางกิโลเมตร หรือ ประมาณ 560,593 ไร่
วิดีทัศน์ เรื่อง หล่อแบบรอยตีนไดโนเสาร์
จากการที่มีการกำหนดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวงขึ้นภายหลังการเข้าถือครอง ที่ดินเพื่อทำกินของชาวบ้าน จึงมักมีการบุกรุกแผ้วถางป่า โดยเฉพาะพื้นที่ติดต่อกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าจะถูกแผ้วถางจนเป็นภูเขาหัว โล้น มีผลให้อัตราการพังทลายของดินสูง และมีการแอบเข้าไปเก็บของป่าตลอดจนล่าสัตว์ภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าด้วย
วิดีทัศน์ เรื่อง น้ำมือมนุษย์
คำถาม
- นักเรียนคิดว่า การแผ้วถางป่ามีผลต่อการพังทลายของดินอย่างไร
- การเก็บของป่าเช่นกล้วยไม้ป่า ไม้หอมชนิดต่าง ๆ มีผลต่อสภาพแวดล้อมของป่าไม้หรือไม่อย่างไร
- การลักลอบตัดไม้ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จะมีผลกระทบต่อพืชพรรณและสัตว์ป่าหรือไม่ อย่างไร
- นักเรียนคิดว่าจะมีวิธีลดการบุกรุกป่าได้อย่างไรบ้าง
กลับไปที่เนื้อหา
ภูมิอากาศ ภูหลวงเป็นภูเขายอดราบซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง1,450 เมตร ยอดเขาจึงนับว่าสูงมากและมีลมค่อนข้างแรงตลอดเวลา และเนื่องจากมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ จึงมีความชื้นในอากาศสูง อุณหภูมิอากาศบริเวณยอดเขาในฤดูร้อนจะเย็นสบาย แต่ในฤดูหนาวอากาศจะหนาวจัด อุณหภูมิ ของอากาศบนผิวโลกจะสัมพันธ์กับความดันอากาศหรือที่ทางอุตุนิยมวิทยาเรียกว่า ความกดอากาศ โดยบริเวณที่มีความกดอากาศสูงจะมีอากาศเย็นหรือมีอุณหภูมิต่ำ ส่วนบริเวณที่มีความกดอากาศต่ำ อากาศบริเวณนั้นจะมีอุณหภูมิสูง

การวัดอุณหภูมิของอากาศที่ตำแหน่งต่าง ๆ และเวลาต่าง ๆ วัดได้ด้วยเทอร์มอมิเตอร์ และวัดในหน่วยองศาเซลเซียส ส่วนความดันอากาศหรือความกดอากาศจะวัดได้ด้วยบารอมิเตอร์ และวัดได้ในหน่วยมิลลิบาร์ ความกดอากาศปกติที่ 20 องศาเซลเซียสที่ระดับน้ำทะเล เรียกว่า ความกดอากาศ 1 บรรยากาศ และมีค่า 1,010 มิลลิบาร์
ที่มาของรูปภาพ
กลับไปที่เนื้อหา



ลักษณะอากาศบนยอดภูหลวงในฤดูต่าง ๆ เป็นดังนี้
- ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธุ์ถึงเดือนเมษายน อุณหภูมิโดยเฉลี่ยประมาณ 20-24 องศาเซลเซียส
- ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึงเดือนตุลาคม อุณหภูมิสูงกว่าฤดูร้อนเล็กน้อยหรือใกล้เคียงกัน
- ฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนกรกฎาคม อากาศหนาวจัดอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 8-16 องศาเซลเซียส โดยปกติแล้วในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคมจะมีอุณหภูมิลดลงถึง 4-6 องศาเซลเซียส อยู่หลายวันและบางปีอุณหภูมิจะลดต่ำลงกว่าจุดเยือกแข็ง จนเกิดน้ำค้างแข็ง


ป่าชนิดต่าง ๆ บนภูหลวง
พื้นที่เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าภูหลวง มีระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 400 เมตรขึ้นไป ดังนั้นลักษณะของป่าที่เห็นได้ชัดเจน จึงมี 2 ชนิด ดังนี้
1. ป่าเบญจพรรณ โดยทั่วไป ป่าเบญจพรรณ หรือป่าผสมผลัดใบ เป็นป่าที่มีพรรณไม้เด่น 5 ชนิด ได้แก่ ไม้สัก มะค่า แดง ประดู่ และชิงชัน จะพบป่าชนิดนี้ได้ในบริเวณที่มีฤดูกาลแบ่งแยกชัดเจน มีช่วงแห้งแล้งยาวนานเกินกว่า 3 เดือน ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยอยู่ในช่วง 1,200-1,400 มิลลิเมตรต่อปี ที่ระดับความสูงตั้งแต่ 50-800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ต้นไม้เกือบทั้งหมดในป่าเบญจพรรณจะผลัดใบในฤดูแล้ง โดยเฉพาะตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมถึงเมษายน ป่าเบญจพรรณในประเทศไทย แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ป่าเบญจพรรณที่มีไม้สักเป็นไม้เด่น ขึ้นคละกับไม้ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจหลายชนิด อาทิ ประดู่ ชิงชัน มะค่าโมง แดง ไผ่ไร่ ไผ่ซางดอย และไผ่หก ส่วนอีกลักษณะหนึ่ง คือ ป่าเบญจพรรณที่ไม่มีไม้สัก มี ไม้เด่นขนิดอื่นขึ้นแทน เช่น ประดู่ ยาง ตะแบก เป็นต้น ใน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง จากระดับความสูง ระหว่าง 400 – 800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลมีลักษณะเป็นป่าเบญจพรรณที่ไม่มีไม้สัก แต่มีไม้เด่นๆ หลายชนิดขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น
วิดีทัศน์ เรื่อง ป่าเบญจพรรณ
คำถาม
- ป่าเบญจพรรณในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง มีไม้เด่น ๆ อะไรบ้าง นักเรียนคิดว่าไม้เหล่านั้นมีการขยายพันธุ์อย่างไร
2. ป่าดิบเขา ป่าดิบเขาเป็นป่าที่อยู่ในระดับความสูงกว่าป่าเขตร้อนชนิดอื่น โดยทั่วไปจะพบในทุกภาคของประเทศไทย ในพื้นที่มีความสูงเกิน 1,200 เมตรขึ้นไป ทำให้อากาศหนาวเย็นและมีความชุ่มชื้นสูงตลอดปี จนเกิดเมฆหมอกปกคลุมอยู่เสมอ กลายเป็นป่าต้นน้ำลำธารที่สำคัญของประเทศ ป่าดิบเขาในประเทศไทยแบ่งได้เป็น 2 ระดับ คือ ป่าดิบเขาระดับต่ำ พบที่ระดับความสูงประมาณ 1,200-1,800 เมตร และป่าดิบเขาระดับสูงอยู่ในระดับความสูงเกิน 2,000 เมตรขึ้นไป ต้นไม้มีกิ่งก้านคดงอตามกระแสลมแรง บนกิ่งขนาดใหญ่และลำต้นปกคลุมหนาแน่นไปด้วยมอส ไลเคน เฟิร์น ฝอยลม และข้าวตอกฤาษี ห้อยระโยงระยางราวกับป่าดึกดำบรรพ์ เช่น ป่าดิบเขาบนดอยอินทนนท์ ซึ่งอยู่บนระดับความสูงมากที่สุดในประเทศไทย คือ ประมาณ 2,567 เมตร ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวงนั้น ป่าดิบเขาระดับต่ำจะปรากฏตั้งแต่ระดับความสูง 800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลขึ้นไปจนถึงยอดเขา มีพืชวงศ์ก่อเป็นไม้เด่น เช่น ก่อแดง ก่อน้ำ ก่อพวง ก่อแป้น ฯลฯ ขึ้นสลับกับไม้อื่นเช่น สนสามพันปี ไก๋แดง ยางบง กุหลาบขาว กุหลาบแดง เป็นต้น
ดินบนยอดภูหลวงจะเป็นดินตื้นที่เกิดจากการกร่อนของหิน แต่ก็ถูกทับถมด้วยใบไม้ที่ย่อยสลายเป็นปุ๋ยธรรมชาติ ทำให้ต้นไม้ขึ้นได้ และดินเหล่านี้บางส่วนได้ถูกน้ำพัดพาลงมายังส่วนที่ต่ำกว่า ทำให้ดินบริเวณเชิงเขาอุดมสมบูรณ์ สังเกตได้จากการเจริญเติบโตของต้นไม้ตามลาดเขาและเชิงเขา
วิดีทัศน์ เรื่อง ป่าดิบเขา
คำถาม
- ป่าดิบเขาบนภูหลวงมีพืชอะไรเป็นไม้เด่น และพืชอะไรเป็นไม้รอง ต้นไม้บนยอดภูหลวงมีลักษณะแคระแกร็น ลำต้นคดงอลำต้นไม่สูงถึงแม้จะมีอายุหลายสิบปี น่าจะเป็นเพราะเหตุใด
กลับไปที่เนื้อหา


วิดีทัศน์ เรื่อง พันธุ์ไม้บนภูหลวง
วิดีทัศน์ เรื่อง กล้วยไม้บนภูหลวง
วิดีทัศน์ เรื่อง มอสและเฟิน
คำถาม
- ยกตัวอย่างพืชที่นักเรียนรู้จัก ซึ่งขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดมา 3 ชนิด
- ยกตัวอย่างพืชที่นักเรียนรู้จัก ซึ่งขยายพันธุ์ด้วยการแยกหน่อมา 3 ชนิด
- ยกตัวอย่างพืชที่นักเรียนรู้จัก ซึ่งขยายพันธุ์ด้วยการใช้ลำต้นปักชำมา 3 ชนิด
กลับไปที่เนื้อหา
เห็ดรา (fungi) เป็นสิ่งที่มีชีวิตชั้นต่ำที่พบอยู่ทั่วไปทั้งในน้ำ บนบก และใน อากาศ มีลักษณะคล้ายสาหร่าย แต่ไม่มีคลอโรฟิลล์ ไม่มีลักษณะเป็นพิเศษที่จะบอกว่าเป็นพืชหรือสัตว์ ดังนั้น เห็ดราจึงไม่ใช่พืช โดยทั่วไปเห็ดราจะมีลักษณะเป็นเส้นใยเล็กๆ แตกกิ่งก้านสาขาออกไปและมักจะอยู่รวมกันเป็นกระจุก เห็ดราบางชนิดเป็นเซลล์เดียว ที่รู้จักกันดีโดยทั่วไป คือ ยีสต์ บางชนิดมี การรวมของเส้นใยจนเป็นดอกเห็ด



เห็ดราที่เรามองเห็นแต่เส้นใยที่ยังไม่รวมตัวกันจนเป็นดอกเห็ดที่เรารู้จัก มักจะเรียกกันสั้น ๆ ว่า รา โดยราแบ่งออกเป็น หลาย ชั้น มีทั้งประโยชน์และโทษ ราที่ให้โทษคือ ทำให้อาหารเน่าเสีย ตัวอย่างที่พบบ่อยที่สุดคือ ขนมปังที่เก็บไว้นานๆ จะมีเส้นใยสีขาวขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นราในชั้นที่มีวิวัฒนาการต่ำสุดไ ม่มีผนังกั้นแยกแต่ละเซลล์ ส่วนประโยชน์คือ ใช้ในการทำอาหารบางชนิด เช่น ข้าวหมาก ส่วนราที่อยู่ในชั้นสูงขึ้นจะมีผนังกั้นแบ่งแต่ละเซลล์ใช้ประโยชน์ในการผลิต แอลกอฮอล์ ขนมปัง และผลิตโปรตีน จากจุลินทรีย์ได้
ราที่อยู่ในชั้นสูงกว่านี้ คือ เห็ดชนิดต่างๆ ประโยชน์ที่ได้จาก ราในชั้นนี้คือ ใช้เป็นอาหาร เช่น เห็ดฟาง เห็ดนางรม เห็ดเป๋าฮื้อ เห็ดหอม เห็ดหูหนู แต่ก็มีเห็ดบางชนิดที่ให้โทษ เช่น ทำให้ เกิดอาการเมา บางชนิดมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาท หรือทำให้เกิดอาการคลื่นเหียนอาเจียน เป็นต้น เห็ด ราเหล่านี้สามารถสืบพันธุ์ได้ทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ แต่ส่วนมากเป็นการสืบพันธ์แบบไม่อาศัยเพศ คือใช้การขยายพันธุ์ด้วยสปอร์
วิดีทัศน์ เรื่อง ฟองหิน
เห็ดราไม่มีคลอโรฟิลล์ จึงสังเคราะห์อาหารเองไม่ได้ การดำรงชีวิตต้องอาศัยการย่อยสลายอาหารจากภายนอก ซึ่งได้แก่อินทรียวัตถุทั่วไป แต่บางชนิดอาจดำรงชีวิตเป็นแบบปรสิต หรืออาศัยรวมกับสิ่งมีชีวิตอื่น และอาศัยประโยชน์ซึ่งกันและกัน เช่น ไล เคน ส์ ซึ่งเป็นการ อยู่รวมกันของเห็ดรากับสาหร่ายซึ่งสามารถพบได้ทั่วไปบนยอดภูหลวง โดยเห็ดราอาศัยอาหารจากสาหร่ายสีเขียวที่สร้างอาหารได้จากการสังเคราะห์ด้วย แสง และเห็ดราจะเป็นผู้ให้ความชุ่มชื้นแก่สาหร่าย ไลเคนส์มีทั้งที่เจริญเติบโตอยู่บนลำต้นของต้นไม้ และบนพื้นดิน บางชนิดเจริญเติบโตอยู่บนก้อนหินซึ่งเรียกว่า ฟองหิน
วิดีทัศน์ เรื่อง ไลเคนส์
คำถาม
- การเจริญเติบโตของเห็ดรา และไลเคนส์ต้องอาศัยปัจจัยอะไรบ้าง
กลับไปที่เนื้อหา
พืชต้องใช้น้ำและแร่ธาตุในการสังเคราะห์ด้วยแสงเพื่อสร้างอาหาร ที่น่าสนใจคือ ต้นไม้ที่มีความสูงมาก ๆ จะใช้วิธีใดในการลำเลียงน้ำและแร่ธาตุขึ้นไปถึงใบซึ่งอยู่ยอดไม้เพื่อ สังเคราะห์ด้วยแสง


คำถาม
- การออสโมซิสมีหลักการอย่างไร
- การแพร่ของสาร มีหลักการอย่างไร
- ทิศทางการลำเลียงน้ำและแร่ธาตุของพืชแตกต่างจากทิศทางการลำเลียงอาหารของพืชหรือไม่ อย่างไร
ในฤดูแล้ง น้ำในดินมีน้อย ต้นไม้ส่วนมากจะปรับตัวตามธรรมชาติเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ในช่วงแห้งแล้ง โดยจะเกิดกระบวนการทางเคมีที่ใบไม้ คลอโรฟิลล์จะลดลงมากจนใบไม้เปลี่ยนสีจากสีเขียว เป็นเหลืองและแดงตามลำดับ จากนั้นจึงหลุดร่วงจากกิ่งก้าน ต้นไม้จะลดการสร้างอาหารลงและเก็บน้ำไว้ในลำต้นเพื่อนำมาใช้สร้างอาหารที่ ส่วนต่าง ๆของต้นไม้ที่ยังมีคลอโรฟิลล์เหลืออยู่
กลับไปที่เนื้อหา
วิดีทัศน์ เรื่อง กรดและเบส
อุปกรณ์
1. บีกเกอร์ขนาด 100 ml
2. แท่งแก้วคน
3. กระดาษลิตมัสสีน้ำเงิน
4. กระดาษลิตมัสสีแดง
5. กระดาษยูนิเวอร์ซัลอินดิเคเตอร์
6. น้ำสะอาด
7. ตัวอย่างดิน
วิธีทำกิจกรรม
1. นำตัวอย่างดินใส่ในบีกเกอร์ประมาณ 3-5 ลูกบาศก์เซนติเมตร
2. รินน้ำสะอาดลงในบีกเกอร์เล็กน้อย คนให้เข้ากัน
3. ใช้แท่งแก้วคนจุ่มน้ำในบีกเกอร์ แตะบนกระดาษลิตมัสสีน้ำเงินและสีแดง สังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
4. ใช้แท่งแก้วคนจุ่มน้ำในบีกเกอร์ แตะบนกระดาษยูนิเวอร์ซัลอินดิเคเตอร์ สังเกตการเปลี่ยนแปลงและนำไปเปรียบเทียบสีกับสีบอกค่า pH บนกล่อง
คำถาม
- ดินที่นำมาทดสอบมีสภาพเป็นกรดหรือเบส ทราบได้อย่างไร
- ดินที่นำมาทดสอบ มีค่า pH เท่าไร
กลับไปที่เนื้อหา
วิดีทัศน์ เรื่อง ความสูงของต้นไม้
อุปกรณ์
1. แผ่นวัดความสูงของต้นไม้
2. ตลับเมตรหรือสายวัดระยะทาง
วิธีทำกิจกรรม
1. ยืนตัวตรง ห่างจากต้นไม้ที่จะวัดความสูงพอสมควร
2. เล็งเครื่องวัดความสูงไปที่ยอดต้นไม้ แล้วจับแหวนโลหะที่ห้อยไว้ในแนวดิ่งให้แนบกับเครื่องวัดความสูง
3. อ่านค่ามุมเงย และอ่านค่า tan ของมุมเงยจากเครื่องวัดความสูง
4. วัดระยะห่างจากต้นไม้ถึงตำแหน่งที่ยืน นำไปคูณกับค่า tan ของมุมเงย
5. วัดความสูงจากเท้าถึงตา นำไปบวกกับค่าในข้อ 4 จะได้ความสูงของต้นไม้
คำถาม
- ความสูงของต้นไม้ที่วัดได้ สูงเท่าไร
กลับไปที่เนื้อหา